เครื่องเคียงข้างจอ/ดีใจที่ไทยได้ 72 เหรียญทอง

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

ดีใจที่ไทยได้ 72 เหรียญทอง

ที่ผมจั่วหัวตอนนี้ว่า “ดีใจที่ไทยได้ 72 เหรียญทอง”

ผมหมายถึงควันหลงจากผลการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 29 ที่ผ่านพ้นไป ซึ่งไทยแลนด์ทำได้ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 109 เหรียญทองไปอย่างมาก

คือ สรุปผลอยู่ที่ 72 เหรียญทอง 86 เหรียญเงิน 88 เหรียญทองแดง รวมจำนวนเหรียญคือ 246 เหรียญ โดยอันดับเหรียญทอง ไทยอยู่อันดับ 2 รองจากเจ้าภาพมาเลย์ที่ทำได้ 145 เหรียญทอง มากถึง 1 เท่าตัว

ส่วนจำนวนเหรียญรวม ไทยก็ได้เป็นอันดับ 2 รองจากเจ้าภาพที่ทำได้ 323 เหรียญ

และหากดูไล่ลงมา อันดับ 3 และ 4 ได้แก่ เวียดนามและสิงคโปร์ มีจำนวนเหรียญทองเฉียดฉิวกันแค่ 1 เหรียญ คือ 58 และ 57 เหรียญทอง ตามลำดับ

ส่วนอันดับที่ 5 เป็นอินโดนีเซีย ได้ไป 38 เหรียญทอง ส่วนเจ้าภาพครั้งต่อไปคือ ฟิลิปปินส์ ทำได้ 24 เหรียญทอง

จํานวนเหรียญทองที่ไทยได้ต่ำเป้าไปถึง 37 เหรียญนั้น แน่นอนที่สมาคมกีฬาแต่ละชนิดก็ต้องกลับมาวิเคราะห์ หาที่มาของผลงานที่ออกมาเช่นนี้ ซึ่งก็มีทั้งที่ทำได้ตามเป้า ที่สูงกว่าเป้า และหลายสมาคมทีเดียวที่ต่ำกว่าเป้า

หากตัดความตุกติกเจ้าเล่ห์ของเจ้าภาพออกไป ไทยเราก็น่าที่จะทำได้ดีกว่านี้

การที่ทำได้ต่ำกว่าเป้า ก็มาจากหลายสาเหตุ

1. เราเก่งขึ้น แต่เขาเก่งกว่า

2. เราเก่งเท่าเดิม แต่เขาเก่งกว่า

3. เราเก่งน้อยลง แต่เขาเก่งมากขึ้น

จะเห็นได้ว่าไอ้ก้อนแรกที่เป็นเรานั้นสามารถออกได้หลายมุม แต่ไอ้ก้อนหลังที่เป็นเขานั้นออกมาหน้าเดียว คือ เขาเก่งขึ้นและเก่งกว่า

ซึ่งอันนี้แหละที่ทำให้ผม “ดีใจที่ไทยได้ 72 เหรียญทอง”

ผมเคยเขียนถึงเรื่องของกีฬาในย่านอาเซียนของเรามาหลายครั้งแล้วว่า อยากเห็นกีฬาของชาติสมาชิกอาเซียนพัฒนาขึ้น เก่งขึ้น จนสามารถก้าวเข้าไปต่อกรกับชาติอื่นในเอเชีย และพัฒนาไปสู้กับระดับโลกได้

ในย่านอาเซียน ไทยเราถูกยกว่าเป็นเบอร์หนึ่งของการกีฬาย่านนี้ โดยมีผลของการเป็นเจ้าเหรียญทองกีฬาซีเกมส์มากที่สุดเป็นเครื่องวัด (13 ครั้งทั้งจากตอนที่เป็นกีฬาแหลมทอง หรือเซียพเกมส์ และที่เปลี่ยนมาเป็นซีเกมส์ในปี 2520 เป็นต้นมา) ซึ่งก็เห็นผลว่านักกีฬาไทยสามารถสร้างผลงานในการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ได้ไม่เลวทีเดียว หากเทียบกับชาติอื่นในอาเซียน และก็เช่นเดียวกันกับในกีฬาโอลิมปิก

ดังนั้น ในการแข่งกีฬาซีเกมส์ทุกครั้ง ประเทศอื่นโดยเฉพาะประเทศเจ้าภาพก็ตั้งเป้าว่าจะล้มความเป็นเจ้าเหรียญทองของไทยให้ได้

ซึ่งผลของการแข่งขันซีเกมส์ครั้งที่ 29 นี้ พบว่าไทยถูกเทียบชั้นจนพลาดเหรียญทองไปในหลายๆ ชนิดกีฬา นั่นเป็นเครื่องแสดงว่า เราประมาทคนอื่นไม่ได้แล้ว เราต้องพัฒนาตัวเองไปอีก ทุกคนเก่งขึ้น พัฒนาขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับภาพรวมของกีฬาย่านอาเซียนของเรา

ยิ่งถ้าการแข่งขันมุ่งไปทางด้านพัฒนา ไม่ใช่มุ่งหวังแต่เอาชนะคะคานกันท่าเดียว โดยมุ่งเอาทิศทางของการแข่งขันกีฬาสากลเป็นหลัก

เชื่อว่ากีฬาอาเซียนต้องไปไกลกว่านี้แน่นอน

ใครที่ได้ติดตามข่าวคราวของแฟนๆ กีฬา คงจะเคยเห็นกระแสความชื่นชมจากประเทศอาเซียนเมื่อนักกีฬาทีมชาติไทยเข้ารอบการแข่งขันในระดับโลก

ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอลโลก ที่เราได้แข่งขันครบไปหมดทั้ง 10 แมตช์แล้ว ไทยเราก็เป็นตัวแทนอาเซียนที่ได้เข้าพันตูในรอบนี้ ชาติอื่นที่แม้จะเป็นคู่แข่งกันก็เชียร์ให้เราทำผลงานให้ได้ดี ก็หวังว่าในการคัดเลือกฟุตบอลโลกครั้งหน้า จะมีชาติอาเซียนเข้ารอบลึกๆ มากขึ้น

หรือทีมวอลเลย์บอลหญิงไทย ที่ได้รับความชื่นชมไปแล้วว่าเทียบชั้นระดับโลก แฟนวอลเลย์บอลในชาติอาเซียนก็ให้กำลังใจและเชียร์ให้เราได้รับชัยชนะ

นอกจากนั้น ยังมี ยกน้ำหนัก มวยสากล เทควันโด และแบดมินตัน ที่ผลงานของนักกีฬาไทยไปได้ดีในระดับเอเชียและโลก โดยเฉพาะกีฬาแบดมินตัน นักกีฬาของอาเซียนทั้งไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ก็ล้วนต่อกรกับทีมในระดับเอเชียและระดับโลกได้สนุกสูสีทีเดียว

คงจำเหตุการณ์ที่นักว่ายน้ำชาวสิงคโปร์วัย 21 ปีที่ชื่อ โจเซฟ สคูลลิ่ง ได้ ที่เขาลงแข่งว่ายน้ำท่าผีเสื้อ 100 เมตร ในกีฬาโอลิมปิก “รีโอเกมส์” ที่ผ่านมา และเขาสามารถเฉือนเอาชนะ ไมเคิล เฟลป์ส ฮีโร่นักว่ายน้ำระดับโลกและคว้าเหรียญทองมาคล้องคอได้ แถมทำลายสถิติที่เฟลป์สเองเคยทำไว้อีกด้วย

เป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวอาเซียน ที่หวังอยากเห็นเช่นนี้อีก

ย้อนกลับมาที่เมืองไทยของเรา ที่เราต้องพัฒนานักกีฬาของเราให้มีฝีมือมากขึ้น ซึ่งต้องเป็นการทำงานทั้งรัฐ สมาคมกีฬา และเอกชน ร่วมมือกัน โดยพัฒนานักกีฬาตั้งแต่รุ่นเยาวชนกันเลย

ทำอย่างไรให้พื้นที่ของกีฬาเปิดกว้าง และลงไปถึงทุกพื้นที่ เพื่อเป็นทางออกหนึ่งของเยาวชนไทยได้เลือกที่จะเป็น “นักกีฬา” ซึ่งในหลายชนิดกีฬาก็สามารถพัฒนาเป็นอาชีพได้ มีเงินเดือน มีสวัสดิการ มีอนาคตที่ไม่ขี้เหร่ได้

และเมื่อกีฬาภายในเราแข็งแรง ก็ดึงเอานักกีฬาชาติอาเซียนมาร่วมงาน เพื่อช่วยกันพัฒนาให้ชาติสมาชิกมีความแข็งแรงไปด้วยกัน

เหมือนอย่างฟุตบอลไทยแลนด์ลีกที่กำลังบูม ก็เริ่มให้มีโควต้านักเตะจากประเทศอาเซียนเป็นการเฉพาะแยกจากโควต้านักเตะต่างชาติ ก็จะทำให้มีนักเตะอาเซียนเข้ามาเล่นในไทยมากขึ้น

ในกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 17 ที่ผ่านมา ซึ่งประเทศเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ ประเทศที่ได้เหรียญทองมากที่สุด 10 อันดับแรกจาก 45 ประเทศ มีประเทศไทยเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียนประเทศเดียวที่ติดท็อปเท็นโดยอยู่ในอันดับที่ 6 ทำได้ 12 เหรียญทอง รองจาก จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น คาซัคสถาน และอิหร่าน

ย้อนไปในครั้งที่ 16 ที่ประเทศจีนเป็นเจ้าภาพ ประเทศอาเซียนที่ติดท็อปเท็นมี 2 ประเทศคือประเทศไทยในอันดับ 9 ทำได้ 11 เหรียญทอง และมาเลเซียในอันดับ 10 ทำได้ 9 เหรียญทอง ถ้าเป็นท็อปทเวนตี้ก็จะมีอินโดนีเซีย อยู่ในอันดับที่ 15, สิงคโปร์ อันดับที่ 16 และฟิลิปปินส์ อันดับที่ 19

และรู้ไหมว่า ไทยเราเคยอยู่อันดับท็อปเท็นที่สูงที่สุดมาแล้ว ในเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 ที่ไทยเราเป็นเจ้าภาพ เราติดอันดับที่ 4 ทำไป 24 เหรียญทอง 26 เหรียญเงิน และ 40 เหรียญทองแดง

หวังว่าในเอเชี่ยนเกมส์ครั้งต่อไป ครั้งที่ 18 ที่ประเทศอินโดนีเซียเป็นเจ้าภาพ ประเทศอาเซียนของเราน่าจะติดท็อปเท็นกันมากขึ้น อย่างน้อยก็ประเทศอินโดนีเซียที่เป็นเจ้าภาพเอง ก็น่าจะสามารถทำผลงานได้ดีเพียงพอ ผนึกกำลังกับไทยที่ติดท็อปเท็นมาแล้ว 2 ครั้ง รวมทั้งประเทศเวียดนาม และมาเลเซียที่กำลังพัฒนากันมากขึ้น

เรามารอชมด้วยหัวใจของชาวอาเซียนด้วยกัน ที่จะก้าวไปด้วยกันในเส้นทางกีฬาที่ได้รับการพัฒนาร่วมกันอย่างดี

ไม่รู้โลกสวยเกินไปรึเปล่า?