นงนุช สิงหเดชะ : ใส่ “เสื้อแดง” เดินสาย 5 ล้านไลก์ และ “เสื้อฟ้า” ของฝากจาก “ดูไบ”

เริ่มแล้วสำหรับปฏิบัติการ “แมลงหวี่” บินตอมหน้า คสช. ให้หงุดหงิดรำคาญใจ ของ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่บัดนี้ต่อยอดกิจกรรมฉลองเฟซบุ๊กครบ 5 ล้านไลก์ (Like) ด้วยการ “ใส่เสื้อแดง” เดินสายออกต่างจังหวัดเพื่อพบปะแฟนๆ ที่เป็นฐานเสียง ตามสัญญาที่ได้ให้ไว้ว่าจะออกไปพบกับแฟนๆ เฟซบุ๊กของเธอแบบตัวเป็นๆ ให้ครบทุกจังหวัด

การเดินสายครั้งนี้มีนัยยะทางการเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย และ คสช. ก็รู้อยู่เต็มอก ว่านั่นคือการเลี้ยงกระแสเพื่อไม่ให้ประชาชนลืมยี่ห้อ “ทักษิณและตระกูลชินวัตร” และสำคัญอย่างยิ่งเพื่อรักษาความนิยมของพรรคเอาไว้ให้ได้จนกว่าจะถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า

ดูแล้วการเดินสายครั้งนี้มีการวางแผน วางพล็อตไว้อย่างดี เพียงแต่ทำให้ดูเนียนว่าเป็นไปตามธรรมชาติ เพื่อเรียกร้องความสงสารเห็นใจจากฐานเสียง ในห้วงยามที่เธอกำลังถูกดำเนินคดีรับจำนำข้าว

ถ้าเป็นละครก็เปรียบเป็นละครแนว “เมโลดราม่า” ที่สามารถสร้างแรงสะเทือนใจต่อผู้ชมจนกระทั่งต่อมน้ำตาแตก เพราะอินไปกับเนื้อเรื่อง

 

30 พฤษภาคมที่ผ่านมา เธอเดินทางไปจังหวัดบึงกาฬและสกลนคร ก็มีแฟนคลับมาต้อนรับหนาแน่น และจะเห็นได้ว่าเธอได้สอดแทรกเรื่องเศรษฐกิจอยู่เป็นระยะ เพื่อตอกย้ำกลายๆ ว่ารัฐบาล คสช. บริหารเศรษฐกิจไม่ได้เรื่อง โดยแม้แต่ช่วงก่อนหน้าจะออกเดินสายต่างจังหวัด เธอก็มักโพสต์เฟซบุ๊กเป็นระยะว่าข้าวของแพง ทั้งที่จะว่าไปแล้ว สมัยที่เธอเป็นนายกฯ ของกิน ของใช้ ผัก ผลไม้ ราคาแพงจนรัฐบาลของเธอถูกล้อเลียนว่า “แพงทั้งแผ่นดิน”

แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังว่า ประชาชนคิดไปเองเรื่องของแพง เพราะเธอลงตรวจตลาดแล้วไม่แพงเลย

ซึ่งจะเห็นว่าในขณะที่เธอเรียกร้องให้รัฐบาลปัจจุบันฟังเสียงชาวบ้าน เรื่องความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ-ปากท้อง แต่สมัยที่เธอเป็นนายกฯ ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ปฏิบัติอย่างที่เธอเรียกร้องจากรัฐบาลอื่น คือคิดว่าของแพงเป็นเรื่องที่ประชาชนคิดไปเอง

จะจริงหรือเท็จอย่างไรไม่ยืนยัน ว่ากันว่าเหตุที่เธอตอบว่าของแพง “เป็นเรื่องคิดไปเอง” ก็เนื่องจากตอนนั้นมีกูรูเศรษฐกิจรายหนึ่ง เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจให้เธอ วันหนึ่งเธอไปถามกูรูคนนั้นว่า อาจารย์ทำไมสินค้าถึงแพง กูรูท่านนั้นตอบว่าเป็นเรื่องของอุปทาน (ตามศัพท์เศรษฐศาสตร์อุปทานหมายถึงปริมาณสินค้า-บริการ ภาษาอังกฤษคือ supply)

กูรูท่านนั้น ตั้งใจจะบอกว่าเหตุที่สินค้า (เช่น ผัก ผลไม้ อาหารสด บางอย่าง) ราคาแพงเป็นเรื่องของปริมาณผลผลิตที่มีน้อยในช่วงนั้น แต่คุณยิ่งลักษณ์ ที่ขึ้นชื่อว่าชอบพูดอะไรผิดๆ ถูกๆ อยู่เป็นประจำ กลับเข้าใจไปว่ากูรูท่านนั้น กำลังบอกว่ามันเป็นเรื่องของอุปทาน (ที่แปลว่าคิดไปเอง)


เป็นเรื่องปกติที่วิสัยนักการเมืองก็มักนำประเด็นเรื่องเศรษฐกิจมาโจมตีรัฐบาลชุดที่กำลังบริหารประเทศ เพราะเป็นเรื่องที่โจมตีง่ายที่สุด นักการเมืองที่ออกจากตำแหน่งมาแล้วก็ง่ายที่จะหยิบจุดนี้มาโจมตี ทั้งที่สมัยที่ตัวเองบริหารอยู่ สถานการณ์ก็ไม่ได้ดีกว่ากันเลย เห็นได้จากคนของพรรคเพื่อไทยเรียงหน้าออกมาโจมตี คสช. ในขณะนี้อย่างเมามัน ว่าทำเศรษฐกิจย่ำแย่ พร้อมกับท้าให้รัฐบาลออกมายืนยันรับประกันว่าเศรษฐกิจจะโต 3.7% ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่

คนเหล่านี้กล้าพูดแบบไม่กลัวว่าสิ่งที่พูดออกไปจะย้อนเข้าตัว หรือถูกคนอื่นย้อนถามเอาบ้างว่า ตอนที่ตัวเองเป็นรัฐบาลสามารถทำให้เศรษฐกิจโตตามเป้าที่คุยโวเอาไว้บ้างหรือเปล่า

จำไม่ได้หรือว่าใคร คนพรรคไหน ที่สารภาพว่า จำเป็นต้องโกหกสีขาว หรือ white lie เรื่องตัวเลขส่งออก (ที่ตั้งเป้าเอาไว้สูง แต่สุดท้ายทำไม่ได้ แถมหลุดเป้าเป็นโยชน์)

เรื่องเศรษฐกิจไทยโตต่ำสุดในอาเซียน ก็เกิดขึ้นในสมัยตัวเอง ทั้งปี 2554 (0.8%) และ 2556 (2.8%) แต่ดันเลือกพูดเฉพาะปีที่ คสช. มาบริหาร คือ 2557 (ศก. โต 0.9% ยิ่งลักษณ์และ คสช. บริหารคนละครึ่ง) และ 2558 (โต 2.8%) แถมปี 2558 นั้น ไทยไม่ได้ต่ำสุดในอาเซียน หากแต่ยังมีสิงคโปร์และบรูไนที่ต่ำกว่าไทย จึงถูกรัฐบาลสวนหงายหลังไป นี่คือจุดอ่อนของพรรคเพื่อไทยที่ไม่แม่นเรื่องข้อมูล เพราะไม่ทำการบ้าน ชอบพูดเอามันอย่างเดียว

ปกติคนฉลาดและรู้จริงเขาจะไม่ออกมาท้าหรือรับประกันเรื่องเศรษฐกิจกับใครว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ 100% เพราะมันมีปัจจัยแปรปรวนสูง

ยิ่งคนพรรคนี้ออกมาพูดกระหน่ำโจมตีเรื่องเศรษฐกิจ ยิ่งถูกมองว่าเป็นพวกดีแต่พูด เอาเท้าราน้ำ หวังผลการเมืองของตัวเองมากกว่าอย่างอื่น

ทั้งที่หากจะย้อนกลับไปดูผลงานของตัวเอง 3 ปีที่อยู่ในตำแหน่ง ก็สอบตกด้านเศรษฐกิจมาตลอด แม้แต่อีสานโพลที่สำรวจเฉพาะอีสาน ฐานเสียงเน้นๆ ของเพื่อไทย ยังให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์สอบตก


หลังกลับจากทัวร์ สกลนคร-บึงกาฬ คราวนี้ ยิ่งลักษณ์ก็โพสต์เฟซบุ๊กว่า ช่วงที่เดินทางเห็นคนขายมันปิ้งแล้วคิดถึงพี่ชายที่ชอบกินมันปิ้ง เลยต้องซื้อมาทานเพื่อให้หายคิดถึง

ส่วน โอ๊ค พานทองแท้ ก็โพสต์ไอจี ในเรื่องเดียวกัน ประมาณว่าตอกย้ำแบบรัวๆ

นี่คืออาการสอดรับกันเพื่อโยงไปถึงคุณทักษิณ เป็นการบอกกล่าวกับแฟนคลับฐานเสียงไม่ให้ลืมคนชื่อทักษิณ จะเห็นว่ามุขนี้ยิ่งลักษณ์ใช้บ่อย เช่นก่อนหน้านี้ ไปเห็นร้านขายกาแฟไทยโบราณก็บอกว่าคิดถึงพี่ชายสมัยช่วยพ่อขายกาแฟ ถือเป็นดราม่าอันหนึ่งที่ได้ผล

ถัดมา 6 มิถุนายน มีการพยายามเชื่อมโยงกับคุณทักษิณอีกครั้ง โดยคุณยิ่งลักษณ์โพสต์เฟซบุ๊กอวดเสื้อแจ๊กเก็ตสีฟ้าบอกว่าพี่ชายฝากมาให้จากดูไบ พร้อมกับเขียนข้อความว่า “ใส่ได้พอดีเลย ขอบคุณค่ะพี่”

พล็อตเรื่องก็ลงตัวพอดี คือพอน้องสาวบอกว่าเห็นมันปิ๊งแล้วคิดถึงพี่ชาย ทางพี่ชายก็เลยส่งเสื้อแจ๊กเก็ตมาให้

ความเคลื่อนไหวของยิ่งลักษณ์แน่นอนว่าตั้งใจจะปั่นหัว คสช. ทางอ้อม แต่ถึงแม้จะรู้ว่ายิ่งลักษณ์พยายามปั่นหัวให้หงุดหงิด ทว่า ดูเหมือน คสช. จะใจเย็น และปล่อยให้เธอเคลื่อนไหวได้ค่อนข้างอิสระ

ตีความอีกทางหนึ่งการที่ค่อนข้างนิ่งของ คสช. ครั้งนี้กรณียิ่งลักษณ์ ก็อาจจะเพราะ คสช. มั่นใจว่ายิ่งลักษณ์ไม่รอด (หรือไม่สุดท้ายอาจเปิดช่องให้เธอหนีออกนอกประเทศ)

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครรู้ว่าคดีรับจำนำข้าวนี้จะจบลงอย่างไร จะปาหี่ หรือว่าเอาจริง

เพราะหากคดีนี้ยังไม่จบในช่วงที่ คสช. ยังบริหารประเทศอยู่ ก็มีแนวโน้มว่าเมื่อมีการเลือกตั้งและพรรคของทักษิณกลับมาชนะอีก รูปคดีอาจพลิกและยิ่งลักษณ์รอดตัวไป เมื่อนั้นความวุ่นวายทางการเมืองจะเกิดขึ้นอีกรอบ

ชั่วโมงนี้ยังไม่มีใครกล้ารับประกันว่ากลไกที่ คสช. วางไว้หลังเลือกตั้ง จะทำงานได้ผลพอที่จะสะกดการเมืองให้ราบรื่นได้หรือไม่