ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 เมษายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | เหยี่ยวถลาลม |
เผยแพร่ |
เหยี่ยวถลาลม
กฎหมายอย่าใช้ ‘กด’
ความก้าวหน้าของมนุษยชาติเกิดขึ้นได้เพราะกระบวนการต่อสู้ทางความคิดเห็น-การปกปักษ์รักษาเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจึงช่วยให้ “ความจริง” ได้มีโอกาสปรากฏมากขึ้น
“จอห์น สจ๊วต มิล” จากหนังสือ ว่าด้วยเสรีภาพ
เมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับแจ้งและตรวจสอบพบจากกล้องวงจรปิดว่า มีชายฉกรรจ์ 4 คน หัวเกรียน แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่รัฐนอกเครื่องแบบ บุกไปถึงคอนโดฯ ขึ้นลิฟต์ไปถึงห้องพัก แล้วถามหาอาจารย์ชาญวิทย์ พอไม่เจอตัวก็ถ่ายรูปหน้าห้องพักเอาไว้
ท่วงทำนองป่าเถื่อนย้อนยุคเหมือนกับหลังเหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาประชาชนเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 ที่รัฐไทยสันหลังหวะ ถึงกับต้องระดมเจ้าหน้าที่รัฐทุกสายออกสะกดรอยติดตาม “คนเห็นต่าง” อย่างไม่ลดละ
อาจารย์ชาญวิทย์ผ่านวิกฤตและการคุกคามเช่นนั้นมาหลายต่อหลายครั้ง หลังจากจบด๊อกเตอร์ด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกา ก็อุทิศทุ่มเทให้กับการเป็นครูบาอาจารย์ เป็นนักคิดนักเขียน นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ยืนหยัดในหลักการและต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม กล้าวิพากษ์ กล้าเลือกยืนฝั่งตรงข้ามกับอำนาจรัฐตลอดมาจนถึงปีนี้อายุก็ปาเข้าไป 81 แล้ว
ไม่ทราบว่ายังจะมีใครกลัวว่าอาจารย์ชาญวิทย์เป็นภัยต่อความมั่นคง
ในประเทศที่มีประมวลกฎหมายบัญญัติชัดเจนแน่นอนใช้บังคับเพื่อเป็นหลักประกันของความเสมอภาคและเป็นธรรมนี้ การบุกไปคุกคามอาจารย์ชาญวิทย์อย่างอุกอาจถึงห้องพักของกลุ่ม “ชายหัวเกรียน” ไม่ควรจะพ้นจากเงื้อมมือกฎหมายไปได้
แต่ร้อยทั้งร้อยกลับเชื่อกันว่าเรื่องนี้จะเงียบหายไปกับสายลม!
หลายปีมานี้ มีปรากฏการณ์สะท้อนความอ่อนแอในระบบยุติธรรม ฝ่ายหนึ่งทำอะไรจะอุกอาจโอ่อ่าป่าเถื่อนแค่ไหนสุดท้ายก็ไม่ผิด แต่ถ้าเป็นอีกฝ่าย ถูกจับตาไม่กะพริบ แค่หายใจมีเสียงดังก็เป็นความผิด ใช้ทั้งกฎหมายกฎหมู่เล่นงานฝ่ายตรงข้ามยุบยิบยุ่งเหยิง
คดีคุณนายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือลูกนัท นักธุรกิจชื่อดังซึ่งเข้าร่วมม็อบนักเรียนนักศึกษาที่ออกมาปราศรัยวิจารณ์รัฐบาล แล้วถูกเจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาใส่จนตาบอด ตั้งแต่สิงหาคมปีที่แล้ว บัดนี้ยังไม่เห็นว่า “การบังคับใช้กฎหมาย” ไปถึงไหน
แตกต่างกันอย่างมากกับเมื่อครั้งที่รัฐระดมสรรพกำลังสกัดกั้นกลุ่ม “คนอยากเลือกตั้ง” เพียงแค่ “อยาก” แล้วออกมาเดินรณรงค์ นั่นถึงกับต้องใช้ ผบ.ทบ.ออกมาประกาศว่า “กำลังให้ฝ่ายความมั่นคงเฝ้าดูติดตาม”
ข้อที่พึงถาม ฝ่ายความมั่นคงประเทศนี้ดำรงอยู่เพื่อประโยชน์อันใด
ถ้ามีไว้เพื่อสกัดขัดขวาง “เสรีภาพ” ในการแสดงความคิดเห็นประชาชน แล้วในหมวดที่ว่าด้วย “สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย” ซึ่งบัญญัติชัดแจ้งอยู่ในรัฐธรรมนูญจะเขียนเอาไว้ทำไม
“ความมั่นคงของรัฐ” ถูกตีความอย่างบิดเบือน!
ถึงแม้รัฐธรรมนูญจะบัญญัติเอาไว้ชัดแจ้งว่า บุคคลเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์โฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น มีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ แต่ในทางปฏิบัติ แค่ผูกโบขาว เดินชู 3 นิ้ว ชูกระดาษเปล่า เดินร้องเพลงวิ่งร้องเพลงแฮมทาโร่ พิราบขาว กินแซนด์วิช หรือรวมกลุ่มอ่านหนังสือ 1984 ทำกิจกรรมทางความคิดอย่างสงบ ล้วนถูกคุกคามจับกุม
ทีโกงกันเป็นร้อยเป็นพันล้านถ้าหากเลือกข้างถูกกลับไม่เดือดร้อน
คนที่ขอแก้ไขกฎหมายสามารถกลายเป็นพวกล้มล้างการปกครอง ส่วนพวกที่เคลื่อนกำลังลากรถถังเข้ายึดอำนาจกลายเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ถึงกฎหมายจะบัญญัติชัดแจ้งว่าผิดก็พ้นผิด
ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่การล้มล้างการปกครองด้วยกำลังทหารและอาวุธจะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติ จะมีก็แต่คนที่พูดที่ต่อต้าน ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารและการสืบทอดอำนาจที่ฉ้อฉลเท่านั้นที่ถูกเล่นงาน
การบัญญัติชัดแจ้งในกฎหมายจึงเป็นแค่ลายลักษณ์อักษรที่ขึ้นอยู่กับการตีความของคนที่บังคับใช้หากคนนั้นจำนนกับอธรรม” กฎหมาย” ก็ถูกใช้ไปอย่างบิดเบือน
ดังที่มีปรากฏการณ์ “ผู้บังคับใช้กฎหมาย” ตีความเข้าข้างฝ่ายหนึ่งกับทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่มีมาตรฐานจนบางทีถึงกับต้องไปขุดเอา “พจนานุกรม” หรือ “ดินลูกรัง” ขึ้นมาสร้างความชอบธรรมให้กับคำวินิจฉัย แต่พอกฎหมายถูกใช้เป็นเครื่องมือกดขี่ข่มเหงรังแกทำลายล้างกัน แทนที่คนจะลุกขึ้นมาด่าคนด้วยกัน
กลับไปกล่าวโทษว่า “กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์”
“กฎหมายศักดิ์สิทธิ์” ไม่มีในโลก
กฎหมายเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยและตามสภาพความเป็นไปของแต่ละสังคม แต่จะถูกใช้อย่างเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมอยู่ที่ “ผู้บังคับใช้” ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว “ความไม่เป็นธรรม” ทั้งหลายนั้นก็เหมือนกับ “เชื้อไฟ” ยิ่งสุมมากสุมนานเข้าก็ยิ่งอันตราย ต่อไปจะลุกลาม ดังจะเห็นได้ในประวัติศาสตร์ที่ “ธรรมชาติแห่งการวิวัฒน์” หรือกงล้อประวัติศาสตร์บดขยี้ผู้ที่ใช้กฎอย่างไม่เป็นธรรมเสมอมา แม้แต่จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง มั่นคงยังต้องล่มสลาย
ไทยเป็นชาติศิวิไลซ์ได้ก็เมื่อมีการปฏิรูประบบยุติธรรมและมีประมวลกฎหมาย
จุดมุ่งหมายใหญ่สุดของระบบที่ลงหลักปักฐานคือ การใช้กฎหมาย “ดับไฟ” หรือระงับข้อพิพาทขัดแย้งด้วย “กระบวนการ” ที่มีชื่อเรียกว่า “ยุติธรรม”
แต่มาจนบัดนี้แล้ว 1 ใน 10 ด้าน ของแผนปฏิรูปกฎหมาย ซึ่งอวดอ้างว่าจะ “ส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพ” ก็ยังไม่เห็นวี่แววแนวปฏิบัติ
ต้องกล่าวตามจริงว่า มีปัจจัยมากมายเหลือเกินที่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทย “ไม่มีประสิทธิภาพ”
จุดยืนที่ตั้งอยู่บนผลประโยชน์ด้านลาภยศ ชื่อเสียง ความก้าวหน้าในชีวิตราชการกับ “หัวใจที่จำนน” ให้มือที่มองไม่เห็นซึ่งชักใยและสั่งการ ก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติ สร้างความไม่เท่าเทียม ไม่คงเส้นคงวา จนทำให้ “การบังคับใช้กฎหมาย” ในประเทศไทยตกอยู่ในยุทธภูมิอันเลวร้าย
เสรีภาพและความเสมอภาคทางกฎหมาย ไม่อาจได้มาอย่างง่ายดายจริงๆ!?!!