เปิดใจ ‘รสนา’ เหตุและผลที่อยากมาลุยชิงผู้ว่าฯ กทม. เดินหน้าสู้ แม้สื่อ-โพลมองเป็นม้านอกสายตา

รสนา โตสิตระกูล หนึ่งในผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ที่ขอใช้สโลแกนว่า “อิสระตัวจริง” เปิดใจว่า ทำงานสังคม ทำการเมืองภาคประชาชนมา 30 ปี ไม่ว่าจะมีตำแหน่งหรือไม่มีตำแหน่ง ที่สนใจสนามผู้ว่าฯ กทม. เพราะว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นนี้มีความพิเศษกว่าการเลือกตั้งระดับชาติ ก็คือคนธรรมดาสามัญสามารถลงสมัครเป็นผู้ว่าฯ กทม.ได้ คุณไม่ต้องสังกัดพรรค

เราจึงประกาศว่าต้องการสมัครเป็นอิสระ ไม่มีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่จะมาแบ๊กอัพหนุนหลัง เราต้องการเป็นตัวแทนของประชาชน การที่เราทำงานเคลื่อนไหวในเรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะมาตลอด แม้จะไม่มีอำนาจเราก็ทำได้ แล้วเชื่อว่าถ้าเรามีอำนาจสักนิดหนึ่งตรงส่วนนี้ เราจะช่วยผลักดันให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากขึ้น

สำหรับแนวคิดนโยบายที่อยากจะชูก็คือเรื่องลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้ เพราะว่าหลังยุคโควิดเราพบว่าประชาชนประสบความยากลำบากด้านเศรษฐกิจ โดยพยายามจะผลักดันเรื่องการลดหนี้สินด้วย เพราะเวลานี้เด็กเกิดมาหนึ่งคนคุณก็มีหนี้คนละ 2 แสนกว่า/หัว

แล้วการที่คุณจะเป็น SMART CITY ได้ คุณต้องมี SMART CITIZEN แต่ถ้าคุณยังปล่อยให้มีหนี้เยอะ เขาก็ทำมาหากินก็ไม่ได้ ซึ่งยากมากเลยที่คุณจะทำให้เกิด SMART CITY

ต่อมาคือเรื่องคุณภาพชีวิต ตัวดิฉันเองเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ในยุคที่อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นอธิการบดี สิ่งที่อาจารย์ป๋วยสนใจมาก ท่านเคยบอกว่าอยากจะเป็นผู้ว่าฯ กทม. และสิ่งที่ท่านประกาศคือจะทำเรื่องของคุณภาพชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน

ดิฉันเองอยากจะสานต่อปณิธานของท่านให้เป็นรูปธรรม

ประการต่อมารสนาบอกว่า ดิฉันต้องการที่จะเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างจริงจังและเข้มแข็ง เพราะว่าการเมืองท้องถิ่นนั้นเป็นพื้นฐานของการเมืองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งสามารถทำประชาธิปไตยทางตรงได้

ในส่วนนี้ ถ้าเราดูภารกิจของ กทม.เรามีผู้ว่าฯ หนึ่งคน รองผู้ว่าฯ 4 คน มีปลัด กทม. มีโฆษก แค่นั้นมันไม่เพียงพอ

จึงคิดว่าที่สำคัญที่สุดคือ ชาว กทม. เขาต้องมีสิทธิ์มีเสียงตลอด ไม่ใช่ว่าเมื่อคุณเลือกตั้งหย่อนบัตรแล้วคุณหมดสิทธิ์มีส่วนร่วมอีก

ถ้าเกิดสภาวะแบบนี้ ต่อให้คุณเป็นคนที่มีการศึกษา เป็นคนที่มีฐานะ คุณก็กลายเป็นผู้ไร้อำนาจได้ เวลาที่คุณหย่อนบัตร คุณจะได้ตัวแทนแล้วปล่อยให้ตัวแทนทำหน้าที่รับเหมาทำแทนคุณทุกอย่างโดยที่เขาไม่เคยมาปรึกษาหารือถามคุณ ซึ่งดิฉันเองคิดว่าการเมืองท้องถิ่นไม่ควรเป็นเช่นนั้น และที่เราไม่มีพรรคการเมือง-กลุ่มทุนมาสนับสนุนเพราะเราต้องการที่จะเป็นตัวแทนและทำประโยชน์ให้กับประชาชนอย่างจริงจัง

ดิฉันจึงต้องการสื่อสารว่าจะเป็นตัวแทนของผู้ไร้อำนาจ

ถ้าให้ยก 3 ปัญหาเร่งด่วนที่คิดว่ากรุงเทพมหานครต้องเร่งแก้ไข รสนาบอกว่า อย่างแรกคิดว่าการทำมาหากินคุณต้องเปิดพื้นที่ในการที่จะให้ประชาชนมีที่ทางในการทำมาหากินมากขึ้น

ดิฉันเห็นว่า กทม.มีพื้นที่ว่างเยอะ ดิฉันเองตั้งใจที่จะทำให้พื้นที่ว่างเปล่าจัดสรรเพื่อให้คนที่มีรายได้น้อยทั้งหลายที่ต้องการทำเกษตรอินทรีย์ในเมืองได้ทำ อย่างน้อยที่สุดเราจะมีอาหารที่ปลอดภัยเพื่อการบริโภคในครอบครัว และถ้ามีเหลือเราสามารถนำมาขายได้ อันนี้เป็นสิ่งที่เร่งด่วนที่จะทำ

พร้อมคิดว่าการลดรายจ่ายก็ต้องทำ ด้วยความที่ กทม.มีหน่วยธุรกิจ อย่างเช่น กรุงเทพธนาคม ตลาดสด จึงคิดว่า กทม.น่าจะสามารถทำกองทุนเพื่อให้คนค้าขายระดับเล็กๆ ที่ไม่มีเงินทุนได้เข้าถึงแหล่งทุน โดยที่ไม่ต้องพึ่งแหล่งเงินทุนนอกระบบซึ่งเก็บดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อวัน กทม.ควรที่จะจัดสรรในเรื่องนี้เพื่อคนตัวเล็กตัวน้อย

ต่อมาคือเรื่องของการศึกษา ในรัฐธรรมนูญเราระบุชัดเจนว่ารัฐต้องจัดการศึกษาฟรี 12 ปีตั้งแต่ก่อนวัยเรียน แต่ปรากฏว่าเราไม่ได้ทำนะ เราทำแต่เด็กชั้นประถม

แต่ส่วนตัวเชื่อว่าท้องถิ่นทำได้และคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญเพราะว่าคนที่ต้องไปทำงาน แถมต้องจ้างคนเลี้ยงด้วย-คุณก็ต้องเสียเงิน ถ้า กทม.คิดเรื่องนี้อย่างจริงจังในการดูแลช่วยเขาก็จะดีอย่างยิ่ง

สุดท้ายที่เราจะต้องดำเนินการคือเรื่องต่างๆ ของ กทม.ที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน เช่น โครงการขนาดใหญ่ที่สร้างความเดือดร้อนประชาชน ถ้าดิฉันเป็นผู้ว่าฯ กทม.จะไปสำรวจและคุยเลยว่าอันไหนที่มีปัญหาแก้ไขได้ อันไหนต้องหยุดก่อนจนกว่าจะแก้ปัญหาแล้วค่อยดำเนินการ

เช่น โรงกำจัดขยะปรากฏว่ามีหมู่บ้านหนึ่งซึ่งเขาอยู่ห่างกันแค่ประมาณ 65 เมตร คือโรงกำจัดขยะแทบจะประชิดรั้วบ้านก็ว่าได้ ปรากฏว่าคุณทำอะไรไม่ได้เลย คุณไปร้องเรียนหน่วยต่างๆ เขาก็บอกไม่เกี่ยวกัน หรืออ้างว่าแก้ปัญหาแล้ว ดังนั้น เราต้องทำให้ถูกวิธี

หากการทำนโยบายใดๆ ไปเพิ่มความทุกข์ให้กับประชาชน คุณต้องหยุดแล้วอันนี้คิดว่าเป็นเรื่องด่วนที่เราจะต้องทำ

 

เมื่อถามว่ามองคู่แข่งในสนามตอนนี้รู้สึกอย่างไร รสนาตอบทันทีว่าก็เห็นด้วยนะคะ ยกตัวอย่างคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ชูสโลแกน ทำงาน ทำงาน ทำงาน เราต้องทำงานแล้วเราต้องจดจ่ออยู่กับเรื่องที่เราแก้ปัญหา แต่สิ่งที่ดิฉันอยากจะช่วยเสริมอาจจะบอกว่า ใส่ใจ ใส่ใจ แล้วก็ใส่ใจ คือการใส่ใจปัญหาความทุกข์สุขของประชาชนใน กทม.ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชน

ที่ผ่านมาดิฉันคิดว่าคนกรุงเทพฯ เป็นคนที่ถือว่าเป็นคนที่มีการศึกษา แล้วก็เขาก็มีวิจารณญาณที่จะเลือกผู้ว่าฯ มาเสมอ เราจะเห็นว่าผู้ว่าฯ ที่เขาเลือกทำไมเป็นคนที่สมัครอิสระ เขาก็มักเลือกคนที่อยู่ฝ่าย ตรงข้ามรัฐบาล เพราะเขาต้องการให้มีการบาลานซ์เพาเวอร์ในแง่นี้

แต่อย่างไรก็ตาม ดิฉันเองเสนอตัวในฐานะที่เป็นประชาชนคนหนึ่ง ความทุกข์ของประชาชนที่แต่ละคนได้รับเราเข้าใจดี ถ้าเราได้แก้ปัญหาให้กับคนมันเหมือนกันแก้ปัญหาให้ตัวเองด้วย

ทั้งนี้ สิ่งที่ฝันอยากจะเห็น คือ รากทางวัฒนธรรมของสังคมไทยที่เราควรจะฟื้นกลับขึ้นมาใหม่ สงครามกลางเมืองทั้งหลายจะต้องไม่มี เราต้องเปิดโอกาสให้คนมีสัมมาอาชีวะ ให้คนมีศักดิ์ศรีในฐานะมนุษย์ แล้วเขาจะได้สิ่งที่เขาเรียกว่าบ้านที่มีความอบอุ่น มีความสงบสุข แล้วจะมีจิตใจอันเข้มแข็งที่จะมาช่วยกันทำให้เมืองกรุงเทพมหานครเป็น SMART CITY

แต่สภาพการเมืองเวลานี้คนก็คงจะไม่พอใจกับสภาพการเมืองใหญ่ เพราะมีแต่ข่าวว่า เขาจะแจกกล้วยคนละกี่หวี? ดิฉันเกิดความสงสัยว่าที่คุณพูดถือเป็นเรื่องธรรมดาได้อย่างไร เพราะนี่มันไม่ธรรมดา ตกลงเราเลือกคนหรือเลือกลิงเข้าไปทำงาน

เราจะช่วยกันทำให้จุดของกรุงเทพมหานครที่เป็นการเมืองท้องถิ่นเป็นจุดของการที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงให้ได้อย่างไร ดิฉันเองเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เราอาจจะเป็นม้านอกสายตาของสื่อของโพลหรือแม้แต่รายการทุกอย่าง คุณเห็นหรือไม่ว่าสื่อเขาจะเอาชื่อผู้หญิงเอาไว้สุดท้ายหรืออยู่ข้างนอกเลย เขาก็จะพูดถึงว่าที่ผู้สมัครผู้ชาย แต่จะไม่เอ่ยถึงผู้หญิง

ดิฉันเองคิดว่าการบริหารงานท้องถิ่น เราไม่ควรที่จะไปแยกฝ่ายประชาชน ในแง่ของการทำงานคุณต้องทำงานบนจริยธรรมพื้นฐาน คุณต้องคิดว่าคน กทม.เขาเป็นคนจ่ายภาษีมาเป็นเงินเดือนให้กับคนที่มาบริหารงาน เราก็ต้องรับใช้คน กทม.ทุกฝ่ายไม่ว่าจะมีความเชื่ออย่างไร

จากการที่ดิฉันทำงานมาตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ทำงานในเรื่องของการตรวจสอบ เรื่องธรรมาภิบาล ดิฉันก็มีความเชื่อมั่นว่า กทม.น่าจะต้องสามารถพัฒนาไปพร้อมๆ กับเรื่องมีธรรมาภิบาลได้

คุณจะพูดอะไรที่สวยหรูก็ได้ว่าไม่โกง แต่ดิฉันอยากประกาศไว้ชัดเจนว่าหากได้รับความไว้วางใจก็รับรองว่าในยุคสมัยของฉันจะไม่มีเรื่องของเงินใต้โต๊ะ และดิฉันเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถพัฒนากรุงเทพฯ ไปพร้อมๆ กับการธรรมาภิบาลได้

ไปดูประวัติที่ผ่านมาดิฉันต่อสู้เพื่อปกป้องสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ผลประโยชน์ของประชาชนมาโดยตลอด

และดิฉันก็จะทำอย่างนี้ตลอดไป

ชมคลิป