คุยกับทูต เยฟกินี โทมิคิน ว่าด้วยสถานการณ์สงครามในยูเครน/สัมภาษณ์พิเศษ

สัมภาษณ์พิเศษ

 

คุยกับทูต เยฟกินี โทมิคิน

ว่าด้วยสถานการณ์สงครามในยูเครน

 

นายเยฟกินี โทมิคิน (Evgeny Tomikhin) เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษ “มติชนสุดสัปดาห์” ในประเด็นร้อนของปฏิบัติการที่รัสเซียระบุว่าเป็นปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครน

: กองทัพรัสเซียเข้ารุกรานอธิปไตยของประเทศยูเครน ถือเป็นทางเลือกที่ดีแล้วหรือ

ตามที่ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซียได้เน้นในคำแถลงของเขา

ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา กรุงเคียฟได้เพิกเฉยต่อภาระหน้าที่ของตนเองภายใต้ข้อตกลงสันติภาพมินสค์ (Minsk Agreements) และสัญญาว่าจะบรรลุการปรองดองครั้งสุดท้ายในภูมิภาคดอนบาส (Donbass)

วันนี้ เรามีข้อพิสูจน์ถึงเป้าหมายระยะยาวของสหรัฐ ที่จะเปลี่ยนระบอบการปกครองของยูเครนให้ต่อต้านดอนบาส โดยการเปิดฉากโจมตีสาธารณรัฐโดเนตสค์ (Donetsk) และลูฮานสค์ (Lugansk) เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2565

ดังนั้น สันติภาพอย่างยั่งยืนหาได้ปรากฏในการปกครองของกรุงเคียฟ ซึ่งมีส่วนในการเตรียมการมาอย่างยาวนานเพื่อแสดงความเป็นปรปักษ์ จากการชี้นำของผู้บงการตะวันตก

รัสเซียจึงต้องตอบโต้ โดยคำนึงถึงชาวรัสเซีย 800,000 คน และผู้พูดภาษารัสเซียอีกมากมายซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่อดีต อันที่จริง ปฏิบัติการของรัสเซียเป็นภารกิจเพื่อป้องกันการบาดเจ็บล้มตายของพลเรือน อันเป็นเป้าหมายหลักของกองทัพรัสเซีย ซึ่งในที่สุด รัสเซียก็ไม่มีทางเลือกอื่น และเพื่อป้องกันความหายนะที่จะเกิดขึ้น รัสเซียจึงต้องปกป้องตนเองจากภัยคุกคามยูเครน

เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 2014 โดยไม่สนใจข้อตกลงและสนธิสัญญาระหว่างประเทศ กองทัพยูเครนได้เปิดฉากยิงอย่างหนักในดอนบาส ซึ่งทำให้พลเรือนที่ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางทหารหลายพันคนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ยูเครนใช้อาวุธร้ายแรงซึ่งถูกห้ามโดยกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ เข้าสังหารอย่างไม่เลือกปฏิบัติ ชุมชนหลายแห่งถูกทิ้งไว้โดยไม่มีน้ำ แก๊ส และไฟฟ้า บริการโทรคมนาคมเคลื่อนที่หยุดชะงัก การเข้าถึงอาหารและยาถูกระงับ

นอกเหนือจากการสังหารหมู่ในดอนบาส กรุงเคียฟยังได้ทำการปิดล้อมแหล่งน้ำ เศรษฐกิจ และการขนส่งในดอนบาส ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติด้านมนุษยธรรมในภูมิภาค ประชาชนในเมืองต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดภายใต้สภาวะสงครามเมื่อไม่มีใครแยกแยะระหว่างพลเรือนกับทหาร ชาวดอนบาสอาศัยอยู่แบบนั้นมาเกือบแปดปีแล้ว

อย่างไรก็ตาม ไม่มีรัฐบาลตะวันตก ไม่มีสื่อตะวันตก ไม่มีนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนแสดงความกังวลหรือให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้คนในดอนบาส

เยฟกินี โทมิคิน

: มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่กระบวนการด้านการทูตจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้นี้ ท่ามกลางซากปรักหักพังของความขัดแย้งนองเลือด

สถานการณ์อย่างนี้จะไม่เกิดขึ้น หากกรุงเคียฟปฏิบัติตามภาระผูกพันของตนเองตามข้อตกลงมินสค์ สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ ในขณะนั้น เปโตร โปโรเชนโก (Petro Poroshenko) เป็นประธานาธิบดียูเครนได้เข้าศึกษาหลักสูตรการบ่อนทำลายโดยนำไปปฏิบัติภายใต้เทคนิคและข้ออ้างต่างๆ

แม้ว่าระบอบของกรุงเคียฟจะมีนโยบายที่ขาดความรับผิดชอบดังกล่าว แต่รัสเซียได้ตกลงที่จะเริ่มการปรึกษาหารือในระดับคณะผู้แทน โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรลุข้อตกลงอย่างสันติ

แต่ผู้แทนทางการทูตยูเครนต้องการคำแนะนำประจำวันจากกรุงวอชิงตัน จึงไม่อาจนำมาซึ่งการยุติความขัดแย้ง

สหรัฐยังต้องการคงความไม่มีเสถียรภาพในยุโรปไว้

: สังคมรัสเซียมีความแตกแยกอย่างมากเพราะต่างฝ่ายต่างเอาความเชื่อของตัวเองเป็นที่ตั้งเท่านั้น อยากทราบว่า เสรีภาพในการแสดงออกและข้อมูลข่าวสารในรัสเซียเป็นอย่างไร

เป็นที่คาดว่าจะมีความคิดเห็นที่หลากหลายจากทุกระดับชั้นของสังคมในช่วงเวลาเช่นวันนี้ ที่มีสงครามข่าวสารอย่างต่อเนื่องเต็มรูปแบบ รัสเซียกำลังเผชิญกับสื่อที่มีอำนาจและการเงินมากกว่าจากตะวันตก ซึ่งคุณสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ที่นี่ ในประเทศไทย ก็มีความพยายามครอบงำการข่าว เป็นการต่อสู้ขึ้นเนินเขาที่มีความสูงและลาดชันไม่เท่ากัน

ในสถานการณ์เช่นนี้ รัฐบาลรัสเซียก็เช่นเดียวกับรัฐบาลอื่นๆ ที่มีแนวทางหลายขั้นตอนเพื่อป้องกันการแพร่กระจายข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในหมู่ประชาชน แต่ชาวรัสเซียส่วนใหญ่สนับสนุนรัฐบาลและปกป้องการตัดสินใจของประธานาธิบดีรัสเซีย

: คุณเห็นว่า “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” ควรหยุดทันทีหรือไม่

ตามที่ประธานาธิบดีรัสเซียได้ประกาศวัตถุประสงค์ของ “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” คือ การทำให้ปลอดทหารและการขจัดระบอบนาซีในยูเครน รัฐบาลกรุงเคียฟที่ล้มเหลว จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนที่ทำให้ยูเครนประสบกับสถานการณ์เช่นนี้

ตามรายงานของคณะเจรจารัสเซีย หนทางสู่ความก้าวหน้าอยู่ที่การปลดปล่อยยูเครนจากนาซีและข้อจำกัดด้านอาวุธที่สำคัญของกองทัพยูเครน เป็นการประกันว่ากรุงเคียฟจะไม่ก้าวร้าวอีกต่อไป

: มีรายงานระบุว่า ขวัญกำลังใจของกองทัพรัสเซียค่อนข้างต่ำ เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาต่อสู้กับยูเครนในเวลานี้ เนื่องจากพวกเขาเป็นทหารเกณฑ์ ความตั้งใจในการต่อสู้จึงดูจะต่ำกว่ากองทัพยูเครนที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ และปกป้องแผ่นดินเกิดของตนเอง ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างไร

ในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้ง การเผยแพร่ จ่ายแจกรายงานต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และในความเป็นจริงมันอาจเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญที่เป็นเป้าหมาย จึงเป็นเรื่องของความไว้วางใจต่อรายงานดังกล่าวว่าเป็นความจริงหรือไม่ ซึ่งผมสามารถโต้แย้งได้อย่างง่ายดายเกี่ยวกับรายงานว่าเป็นตรงกันข้ามกับสิ่งที่นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญของตะวันตกเผยแพร่

ดังนั้น ผมจะไม่ไว้วางใจรายงานดังกล่าวมากเกินไปในช่วงแห่งความขัดแย้ง เนื่องจากผู้เขียนมักขาดความเป็นกลางและชอบ (ทั้งโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว) ที่จะเข้าข้าง

: มิคาอิล กอร์บาชอฟ อดีตผู้นำโซเวียต ได้เคยเตือนถึงความตึงเครียดในปัจจุบันระหว่างรัสเซียและตะวันตก ซึ่งกำลังทำให้โลกตกอยู่ใน “อันตรายมหาศาล” ด้วยภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์ ตอนนี้เราควรกังวลแค่ไหนกับภัยคุกคามนี้

สถานการณ์เป็นอันตรายอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับการคุกคามที่เพิ่มขึ้นของการใช้อาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง แต่ขอให้เราชี้แจงให้ชัดเจนว่าใครอยู่เบื้องหลังความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้

ประการแรก เราต้องการเรียกร้องสหรัฐให้คำอธิบายเกี่ยวกับบทบาทในการกำหนดสงครามชีวภาพให้กรุงเคียฟ

ขอเตือนว่า วิกตอเรีย นูแลนด์ (Victoria Nuland) ปลัดกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ยอมรับว่าสหรัฐได้พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการวิจัยทางชีววิทยาในประเทศยูเครนด้วย

และอูลานา สุปรัน (Ulana Suprun) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยูเครน ซึ่งเป็นพลเมืองสหรัฐ คือผู้รับผิดชอบกิจกรรมเหล่านี้

จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า กิจกรรมเหล่านี้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร เช่นเดียวกับห้องปฏิบัติการทางชีววิทยาอีก 300 แห่งในส่วนต่างๆ ของโลก เป็นการละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธชีวภาพ (Biological Weapons Convention) ซึ่งเราเห็นว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีเซเลนสกี (Zelensky) ของยูเครนยังได้ออกแถลงการณ์ที่เป็นอันตราย โดยเปิดเผยถึงแผนการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของรัฐบาลหัวรุนแรงสุดโต่ง

ดังนั้น หนึ่งในลำดับความสำคัญหลักของรัสเซีย คือการควบคุมโรงงานนิวเคลียร์ของยูเครน ตลอดจนบรรลุการทำให้ยูเครนปลอดทหารและขจัดอิทธิพลนาซี

สุดท้ายนี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หุ้นส่วนของเราในยุโรปจะสามารถเข้าใจได้ว่า รัสเซียกำลังช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากลัทธินาซีในรูปแบบใหม่อีกครั้ง

: ท่านรู้สึกอย่างไร กรณีนายเซอร์เก ลาฟรอฟ (Sergey Lavrov) รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เคยกล่าวไว้ว่า รัสเซียไม่เคยโจมตียูเครน แต่ในขณะเดียวกัน รัสเซียก็ได้ทิ้งระเบิดลงหลายเมือง รวมทั้งโรงเรียนศิลปะ โรงพยาบาลเด็กและสูติกรรมแห่งหนึ่งในเมืองมาริอูโปล ที่ฆ่าผู้หญิงและเด็กไปหลายคน

ผมไม่คิดว่าตัวเองพร้อมจะตีความในคำพูดของรัฐมนตรีต่างประเทศลาฟรอฟ แต่เชื่อว่าเป็นความพยายามของสื่อที่ดึงบางตอนออกมาเป็นสีสัน โดยรัฐมนตรีอ้างถึงข้อเท็จจริงที่ว่า “สงคราม” ซึ่งหมายถึงสงครามกลางเมืองในยูเครน หลังการรัฐประหารในกรุงเคียฟเมื่อ 8 ปีที่แล้ว และรัสเซียไม่ได้โจมตีใครเลย รวมถึงยูเครนในตอนนั้น

ดังนั้น ประเทศของเราจึงพยายามที่จะยุติความขัดแย้งที่ยืดเยื้อนี้ ซึ่งเกิดจากความพยายามร่วมกันของประเทศตะวันตกที่ได้จัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากให้แก่ยูเครนตั้งแต่ก่อนวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ทั้งยังได้เสริมกำลังบำรุงทางทหารไปเมื่อเร็วๆ นี้

น่าเสียดายที่สหรัฐไม่สนใจในความสูญเสียของพลเรือน รวมถึงครั้งที่ทำสงครามในเวียดนาม ยูโกสลาเวีย ซีเรีย ลิเบีย อิรัก หรืออัฟกานิสถาน

ตัวอย่างล่าสุดและที่น่าตกใจที่สุดคือ การรายงานอย่างแพร่หลายของเพนตากอนว่าเป็น “การผ่าตัดที่ประสบความสำเร็จ” ด้วยอาวุธที่มีความแม่นยำล้ำสมัยมุ่งเป้าไปที่ผู้ก่อการร้ายชาวอัฟกานิสถาน ซึ่งต่อมา (ตามที่นักข่าวอเมริกันเปิดเผย) เป็นเพียงชาวบ้านผู้บริสุทธิ์และเด็กที่ไร้เดียงสาในท้องถิ่น

เพื่อเป็นการลดจำนวนเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายดังกล่าว รัสเซียและยูเครนได้เจรจาเกี่ยวกับทางเดินด้านมนุษยธรรมและมาตรการหยุดยิงเพื่อให้พลเรือนออกจากสนามรบ จนถึงตอนนี้ ผู้คนหลายพันคนใช้โอกาสดังกล่าวออกไปยังพื้นที่อื่นๆ ของยูเครนและรัสเซีย และช่วยชีวิตของพวกเขาได้สำเร็จ

: เหตุผลที่รัสเซียใช้ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง (hypersonic missile) มาแล้วสองครั้ง ซึ่งเป็นการยกระดับที่อันตราย

หนึ่งในเป้าหมายทางการทหารที่ถูกทำลายโดยขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง “คินซาล” (Kinzhal) คือคลังใต้ดินเก็บขีปนาวุธ และกระสุนสำหรับการบินขนาดใหญ่ในยูเครนตะวันตก ซึ่งเพื่อนชาวตะวันตกส่งให้กรุงเคียฟ

มีเหตุผลสองประการ

ประการแรก มอสโกได้แสดงให้เห็นว่า สามารถใช้อาวุธที่ไม่มีใครเทียบได้ในโลก แม้แต่สหรัฐก็ไม่มี ถือเป็นการใช้อาวุธที่มีความเร็วเหนือเสียงในการต่อสู้ครั้งแรก ความสามารถของระบบขีปนาวุธล่าสุดมีพลังทะลุทะลวงสูง แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของกลุ่มอุตสาหกรรมการทหารของรัสเซียในการพัฒนาอาวุธดังกล่าว

ประการที่สอง เป็นเครื่องมือที่มีความแม่นยำสูงในการทำงานบางชนิดให้สำเร็จ ในตอนนี้ป้อมปราการทุกแห่ง รวมถึงเขตชายแดนตะวันตกของยูเครน ระบบป้องกันขีปนาวุธ และระบบป้องกันภัยทางอากาศ คลังสำหรับเก็บขีปนาวุธทางยุทธวิธี “Tochka-U” คลังเสบียงอื่นๆ ของตะวันตก ก็จะถูกโจมตีด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด

นี่เป็นสัญญาณเตือนไปยังประเทศตะวันตกทั้งหมด และเหล่าสาวกที่คิดแทรกแซงในการปฏิบัติการพิเศษทางทหาร

อันที่จริง มีการพัฒนาอุปกรณ์การต่อสู้ที่ซับซ้อนของ “Kinzhal” สิบประเภท หนึ่งในนั้นคือหัวรบต่อต้านบังเกอร์ที่ได้ผ่านการทดสอบตามหลักการใช้งาน

: ความสัมพันธ์ไทย- รัสเซียเป็นอย่างไร

ผมต้องการเน้นว่า ประเทศไทยเป็นพันธมิตรมาช้านานและเชื่อถือได้ของรัสเซีย เราภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์อันยาวนานและต่อเนื่องของความสัมพันธ์ทวิภาคี ซึ่งเริ่มต้นด้วยมิตรภาพระหว่างสองพระมหากษัตริย์ : พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (His Majesty King Chulalongkorn) รัชกาลที่ 5 และจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย (Nicholas II of Russia)

อย่างไรก็ตาม เราฉลองครบรอบ 125 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตรัสเซีย-ไทยในปีนี้

มีการพัฒนาความร่วมมือรัสเซีย-ไทยในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการสำรวจโอกาสสำหรับทิศทางใหม่ของการปฏิสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน พื้นที่ดังกล่าวรวมถึงเทคโนโลยีไฮเทค เทคโนโลยีชีวภาพและอวกาศ เทคโนโลยีนิวเคลียร์อย่างสันติ เราเห็นโอกาสมากมายในการต่อเรือ การปกป้องสิ่งแวดล้อม การต่อสู้กับโควิด-19 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การผลิตวัสดุก่อสร้าง เทคโนโลยีไอที และการบิน

การปรับปรุงพื้นที่เหล่านี้สามารถเพิ่มศักยภาพการค้าและการลงทุนร่วมกันของเราให้สูงขึ้นไปอีก ทิศทางที่สำคัญในความร่วมมือของเราอีกประการหนึ่งที่จะปรับปรุงคือ ความสัมพันธ์ด้านมนุษยธรรมและวัฒนธรรม

และสิ่งที่เราให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือ ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของเรา ซึ่งยังคงเป็นมิตรและอบอุ่นอยู่เสมอ โดยจะพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งต่อไป