ทางตัน / เอกภาพ : พิชัย แก้ววิชิต

พิชัย แก้ววิชิต

เอกภาพ

พิชัย แก้ววิชิต

 

ทางตัน

 

เมื่อความคิดและความรู้สึกของผมได้เจอเข้ากับทางตัน

เรื่องราวที่ไม่อาจเรียงร้อยเล่า น้ำหนักของสาระแห่งเนื้อหาที่ดูจะบางเบาเหลือประมาณ เพียงแค่แรงลมพัดจากแรงพัดลมเบอร์สองปะทะเข้ากับสิ่งที่คิดและรู้สึกถึง ก็ดูจะปลิดปลิวล่องลอยหายไปได้อย่างง่ายดาย

มันเป็นเหมือนช่วงเวลาที่ถูกหยุด ติดตันในขณะที่ผมอยากเดินไปต่อ

การชะงักงันที่จำต้องอยู่กับความคิดอันสะเปะสะปะที่มีอยู่มากมาย ดูจะไม่ช่วยอะไรและไร้ซึ่งประโยชน์ในตอนนี้

การจับต้นชนปลายของเรื่องราวที่จะเขียนไม่ใช่เรื่องยาก แต่การไร้ซึ่งเรื่องราวทั้งต้นและปลายมันก็ไม่ได้ง่ายนักกับการที่จะหยิบจับความคิดและความรู้สึกมาบอกเล่าเรื่องราวเหมือนที่ผ่านมา

สี่วันโดยประมาณ ถ้อยคำที่เรียงร้อยประกอบกันเข้าให้เป็นประโยคถูกลบออกครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รอดเหลือไว้ให้เป็นเรื่องเป็นราวให้เป็นที่พอใจ

ดูจะเป็นบททดสอบที่เกิดขึ้นแบบเร็ววันเร็วคืนกับทางตันบนเส้นทางของงานเขียน

มีพี่น้องที่เคารพรักหลายท่านได้ทักเตือนกับผมในเรื่องนี้ด้วยประโยคที่แฝงไปด้วยความระทึกใจว่า “ระวังจะตัน”

แน่นอนว่ากับทางตันมันเป็นสิ่งที่ผมต้องพบเจอและได้สัมผัสกับมันไม่วันใดก็วันหนึ่ง

และเวลานี้ดูเหมือนว่าผมจะเดินมาเจอทางตันเร็วไปกว่าที่คาดการณ์ไว้

 

หลายคนคงเดาออกแล้วว่าผมกำลังหาทางออกให้ตัวเองอยู่

ผมอยู่กับทางตันมาสี่วันโดยประมาณ มันเป็นการรอคอยที่ไม่ได้มีการนัดหมายกับความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ว่าเมื่อไหร่จะสร้างเรื่องเพื่อจะเขียนได้สักที

การสร้างภาพผ่านแสง กับการสร้างเรื่องราวผ่านตัวหนังสือ ดูเหมือนผมจะเริ่มเห็นเค้าโครงที่ต่างกันของศิลปะทั้งสองอยู่บ้างแล้วในตอนนี้

ในการถ่ายภาพบางครั้งย่อเข่าเพียงครั้งเดียว จัดองค์ประกอบ กดชัตเตอร์ ได้ภาพ คือจบ

แต่สำหรับงานเขียนแล้ว ย่อไปหลายย่อหน้าแล้วก็หาจะจบเรื่องในทันทีไม่ การถอนหายใจยาวๆ เพื่อกระตุ้นตื่นความหวัง ให้ตื่นตัว เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ในงานเขียน

เมื่อหาทางออกไม่เจอผมก็นั่งดูทางตันไปพลางๆ เมื่อคิดไม่ออกก็เลิกคิด หากไร้อารมณ์ก็อยู่กันแบบนิ่งเฉย ยกเลิกข้อตกลงกับเวลา และบอกเวลาให้เดินหน้าล่วงไปก่อนแล้วเดี๋ยวจะตามไป

มีหลายสิ่งอย่างที่ผมมักจะปลอบประโลมตัวเองทำที่พอจะทำได้ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติสุข

มันเป็นการปล่อยเมื่อรู้สึกถึงความหนัก วางลงเมื่อมันล้นจนเกินมือ

วางใจที่ไม่ถอดใจ


ผมถ่ายภาพนี้โดยไม่มองความมีอยู่ของความหนาทึบ ไร้สีสัน มีเพียงกระจกแผ่นบางๆ ที่ถูกวางทิ้งไว้ ที่ทำให้ผมรู้สึกเห็นอะไรบางอย่าง มาถึงตรงนี้ผมก็บรรยายตามความรู้สึกไม่ได้เสียแล้ว มันสุดขอบเขตของตัวอักษร บอกได้แต่เพียงว่า “สัปดาห์นี้ผมเจอทางออกแล้ว”

 

เมื่อนั่งเฝ้าตรงทางตันจนระงับเงียบได้ที่

ผมรู้สึกได้ว่า แท้จริงการเจอเข้ากับทางตันไม่ใช่การไร้รู้สึก

เพราะผมยังรู้สึกได้ถึงทางตัน การนั่งดูทางตันแล้วเล่าเรื่องราวของมันผ่านความคิดและความรู้สึกแท้จริงมันคือทางออก ทางออกที่มีอยู่แล้วแต่แรก

มันเป็นทางตันที่ผมสร้างมันขึ้นมาเองด้วยความไม่ปกติของผม

มันไม่ใช่ปัญหาของการที่ผมเดินช้าหรือเร็ว แต่ผมเดินไม่คงเส้นคงวาเองต่างหาก

ปัจจัยของสาเหตุคือตัวผมเอง

ด้วยความเป็นธรรมดา ผมเชื่อว่าคงจะต้องเจอกับทางตันเป็นระยะๆ บนเส้นทางสายนี้ ถ้าหากจะมีภาคต่อของทางตันเป็นระยะก็คงให้อภัยกันได้ ไม่ถือโทษโกรธกัน ด้วยมีการบอกกล่าวกันล่วงหน้ากับภาคต่อของทางตัน และพยายามสุดชีวิตเพื่อที่จะไม่ให้ภาคต่อ

ถึงตรงนี้ผมคงต้องบอกว่า “ผมนั่งมองดูทางตัน จนเห็นทางออก ที่อยู่ในทางตัน”

 

ในภาพถ่ายไม่มีจุดเด่นๆ ใดๆ ที่ดึงดูด ในส่วนของเส้น เหลี่ยม และมุม ตลอดจนแสงเงาที่งามใจ เหมือนเช่นเคย

มันเป็นการมองดูความทึบตันของกำแพงสีเทาหนาทึบ

กับกระจกแผ่นบางๆ ที่ถูกวางทิ้งไว้

ขอบคุณมากมายครับ •