Flee / การ์ตูนที่รัก : นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

การ์ตูนที่รัก

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

 

Flee

 

“บ้านคือสถานที่ที่ปลอดภัย” เป็นประโยคแรกๆ ของหนังเรื่องนี้ “เป็นสถานที่ที่เราพักอาศัยได้ ไม่ต้องย้าย ไม่ใช่สถานที่ชั่วคราว”

Flee เป็นหนังการ์ตูนเดนมาร์กปี 2021 ตัดสลับกับภาพข่าวเหตุการณ์ในอัฟกานิสถานตามท้องเรื่อง เรียกว่า animated docudrama กำกับการแสดงโดย Jonas Poher Rasmussen

หนังฉายในเทศกาลซันดานซ์ปี 2021 ชนะเลิศการ์ตูนยอดเยี่ยมรางวัลแอนนี่ครั้งที่ 49 เป็นหนังการ์ตูนเรื่องแรกที่เข้าชิงออสการ์ 3 สาขาพร้อมกัน คือหนังต่างประเทศยอดเยี่ยม หนังสารคดียอดเยี่ยม และหนังการ์ตูนยอดเยี่ยม

หนังไม่ถึงกับน่าสนุกหรือน่าตื่นเต้นอะไร แต่ที่ได้รับเป็นความอบอุ่นใจ อบอุ่นที่มนุษย์มีความหวังและมีความรัก ที่สำคัญคือพอจะเข้าใจและสัมผัสได้ถึงความยากลำบากของการพลัดที่นาคาที่อยู่ของชาวอัฟกานิสถาน

เวลาพูดถึงผู้อพยพ ไม่ควรคิดถึงแค่ชาวอัฟกานิสถาน หรือโรฮิงญา แต่ควรคิดถึงชาวปาเลสไตน์ที่มีกำแพงสูงล้อมรอบ และชาวไทยจำนวนมากที่ถูกสั่งให้ออกจากที่ทำกินของบรรพบุรุษด้วย ทั้งนี้ โดยไม่ตกกับดักว่าคนไทยคืออะไร ลำพังเรื่องพวกเขาเป็นคนที่เกิดบนแผ่นดินนี้ก็ควรจะพอ

ส่วนสำคัญของหนังที่ควรได้รับคำชมเชยมากๆ คือเรื่อง LGBT เป็นหนังการ์ตูนที่ตัวเอกเป็นเกย์ตั้งแต่เล็ก เขาคลั่งไคล้ฌอง คลอด แวนแดม และพบรักกับเพื่อนเกย์ด้วยกัน ได้รับความรักจากเพศเดียวกัน มีอะไรปรึกษาหารือกัน ไม่ต่างอะไรจากคู่รักทุกคนบนโลกนี้

ตัวเอกของเรื่องชื่ออามิน มีเคราจางๆ มีไฝที่ตอนล่างของคางด้านขวา มีกริยาท่าทางเหมือนผู้ชายทั่วไป เป็นเกย์ เขารำลึกอดีตให้เราฟังครั้งที่เขาต้องหนีออกจากอัฟกานิสถานช่วงทศวรรษที่ 1980 เมื่อมูจาฮิดินครองอำนาจรอบแรก หนังขึ้นต้นว่าสร้างจากเรื่องจริงโดยเปลี่ยนชื่อตัวละคร

หนังดำเนินเรื่องโดยกล้องจับใบหน้าอามินตรงๆ เต็มจอหลายครั้ง เขาอยู่ในท่านอนแบบที่เห็นในการทำจิตบำบัดเชิงจิตวิเคราะห์ แต่ดูเหมือนชายอีกคนจะมิใช่จิตแพทย์ มีกล้องถ่าย และที่นอนเป็นเสื่อมิใช่เคาช์ (couch)

อามินนอนหลับตาเล่าเหมือนผู้เข้ารับการจิตบำบัดเชิงจิตวิเคราะห์ทั่วไป แต่ที่ต่างกันคือเขาเปิดตาดูเราซึ่งกำลังนั่งดูหนังเรื่องนี้เป็นครั้งๆ ด้วยวิธีนี้ทำให้เราคนดูต้องรักษามารยาทนั่งฟังเขาต่อโดยไม่รู้ตัว รามุสเซนใช้เทคนิคนี้ดึงเราเข้าไปในเหตุการณ์อย่างแยบยล

วัยเด็กของอามินดูสดใสร่าเริง เขาแต่งกายสดใสคล้ายเด็กหญิง ที่จริงเขาเอากระโปรงสีฟ้าสดใสของพี่สาวมาใส่แล้วสวมซาวด์อะเบาต์วิ่งเล่นไปตามตลาด ผู้ใหญ่บางคนมองเขา บางคนฉีดน้ำใส่เขา เขาอาศัยอยู่กับแม่และพี่ชายพี่สาว แม่ผู้เป็นทุกอย่างและพี่ชายที่พึ่งพิงได้

พี่สาวคนโตเป็นคนเดียวที่เคยเห็นพ่อและได้อยู่กับพ่อ พ่อหายไปเพราะมูจาฮิดินเอาตัวไปในวันหนึ่ง แม่ที่เคยผมดำกลายเป็นขาว เคยเข้มแข็งแล้วค่อยๆ อ่อนแอลงตามอายุ เด็กๆ เติบโตขึ้นแล้วเริ่มหาลู่ทาง “หนี” ออกจากบ้าน

เมื่อบ้านมิใช่สถานที่ปลอดภัยอีกต่อไป

หนังฉายภาพข่าวปี 1984 ให้ดูช่วงสั้นๆ คือกรุงคาบูลเวลานั้น ถนนเป็นฝุ่น ขยะทั่วๆ ไป รถเมล์เก่าๆ ผู้คนเบียดเสียด ตลาดมีผู้คนพลุกพล่าน รถยนต์และรถลากไปด้วยกัน ราวตากผ้าสีสดใสแทบทุกบ้านมีให้เห็นเหมือนบ้านเรา

ประเทศประเทศหนึ่งควรเป็นบ้านได้ คือสถานที่อยู่แล้วมีความสุข ไม่ยากลำบาก สิ่งแวดล้อมสวยงาม และมีความปลอดภัย หลายประเทศวันนี้เป็นตรงข้าม ไม่มีความสุข ทำมาหากินยากลำบาก สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ และไม่มีความปลอดภัย

ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือบ้านควรเป็นสถานที่ที่อยู่แล้วมีความหวัง ประเทศก็เช่นเดียวกัน ควรเป็นประเทศที่ผู้คนมีความหวัง

คนส่วนใหญ่มิได้โลภมาตั้งแต่แรก น่าจะรวมทั้งประเทศโลกที่สาม หลายๆ คนในประเทศด้อยพัฒนาก็มิได้คาดหวังบ้านสวยงาม โรงเรียนเลิศหรู การศึกษาและการสาธารณสุขชั้นเลิศ หรือสิ่งแวดล้อมรื่นรมย์ ขอให้ปลอดภัยและไม่ยากลำบากเกินไปก็พอใจแล้ว

คนบ้านนอกบ้านเราซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนาก็เช่นเดียวกัน ไม่เคยขออะไรมากมาย อ่อนน้อมถ่อมตน เจียมเนื้อเจียมตัว พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ก่อนแล้ว ไม่นับว่ามีความทรหดต่อความยากลำบากอย่างเหลือเชื่อ ฝนแล้ง น้ำท่วม ฝุ่นควัน ไม่มีงานทำ ล้วนทนกันได้ทั้งนั้น แต่ดูเหมือนเป็นรัฐเองที่จะย่ามใจมากไปหน่อย

หนังตัดสลับภาพข่าวเมื่ออเมริกันเสริมอาวุธให้ฝ่ายกบฏ ฝ่ายรัฐบาลตามจับเด็กหนุ่มไปเป็นทหาร พี่ชายของอามีนเป็นหนึ่งในนั้น ไม่มีใครอยากไปเป็นทหาร จนกระทั่งเมื่ออเมริกันถอนตัวจากอัฟกานิสถาน ทาลิบันจึงเข้ากรุงคาบูล

ถึงตอนนี้ไม่มีใครปลอดภัยได้อีก

 

วิธีที่พี่สาวหนีออกจากบ้าน วิธีที่เขาและแม่หนีตามออกไป มิใช่เรื่องน่าตื่นเต้นระทึกขวัญแบบหนังทริลเลอร์แอ๊กชั่น แต่ลุ่มลึกและน่ารันทดอย่างเลวร้าย อันตรายทุกย่างก้าว ความยากลำบากทุกขั้นตอน เทียบมิได้เลยกับความหวังที่ดับสูญในทุกชั่วโมงที่ผ่านไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ความหวังริบหรี่ลงทุกขณะและสัมผัสได้ว่ายากที่จะฟื้นตัว

รามุสเซนแสดงให้เราเห็นว่าภาษามิใช่อุปสรรค อามินพูดดารี ในขณะที่อาหรับ รัสเซีย เดนมาร์กพูดภาษาอื่น หลายครั้งที่คนดูเองตกที่นั่งไม่รู้เรื่องว่าคนต่างเผ่าพันธุ์ที่เห็นพูดอะไรกัน ที่สำคัญกว่าภาษาจึงเป็นการสื่อสารด้วยสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง และเจตนารมณ์

ถ้ารามุสเซนทำให้คนดูเข้าใจหนังได้ แปลว่าเราควรเข้าใจคนอพยพได้เช่นกัน •