ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 เมษายน 2565 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
ตามหา เกราะใยทอง
แกะรอย ‘จอมโจรดอกเหมย’
จอมยุทธ์ ‘ลี้คิมฮวง’
ปรากฏการณ์ “จอมโจรดอกเหมย” (บ้วยฮวยเต๋า) สร้างความสั่นสะเทือนเป็นอย่างสูงในยุทธจักรและในหมู่ชาวเมือง
จากคำอธิบายของซุนคุ้ยเจ้าของโรงเตี๊ยมเล็กในดงไม้
“ตอนบ้วยฮวยเต๋าอาละวาดในแผ่นดินท่านยังเป็นเด็กทารกอยู่ อาจบางทีมิทราบความร้ายกาจของมัน แต่เรากลับพอบอกกับท่านได้
ตอนนั้นผู้คนในวงพวกนักเลงไม่มีผู้ใดมิหวาดหวั่นพรั่นพรึงมัน กระทั่งเจ้าสำนักเตียมซังที่ถูกยกเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งของบู๊ลิ้มยังต้องตายในเงื้อมมือมันด้วย ร่องรอยของคนผู้นี้ลึกลับสับสน
ลึกซึ้งจนไม่มีภูตผีเทวดาหยั่งคำนวณได้
โง้วมึ่งเทียน เจ้าสำนักเตียมซังประกาศก้องว่า ต้องการหามันมาพิสูจน์ฝีมือ แต่วันที่ 2 ก็ต้องตายอยู่ในลานตึกพัก ตลอดร่างไม่มีบาดแผล”
หยุดคำพูดลงกลางคัน เหลือบตามองรอบข้างคล้ายเกรง “บ้วยฮวยเต๋า” จะมาปรากฏ
“ที่ทรวงอกปรากฏคราบโลหิต 5 จุดในลักษณะดอกเหมย คราบโลหิตเล็กละเอียดราวปลายเข็ม”
ที่สร้างความตื่นตะลึงไม่เพียงเพราะวิทยายุทธ์อันล้ำลึกพิสดาร ที่สร้างความตื่นตลึงไม่เพียงเพราะมันสามารถจัดการกับมือกระบี่อันดับ 1 ได้
หากยังอยู่ที่ “สัญลักษณ์” อันเป็น “ดอกเหมย” ผ่านคราบโลหิต
ทุกผู้คนต่างทราบ แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่า ที่แท้มันใช้ออกด้วยอาวุธลับอันชั่วร้ายหรือว่าอาวุธนอกระบบที่ร้ายกาจใด
ทั้งนี้เพราะผู้ที่ประมือกับมันไม่เคยมีคนรอดชีวิตมาก่อน
เพราะเหตุนี้ พลอยไม่มีผู้คนล่วงรู้โฉมหน้าแท้จริงของมัน ทั้งหมดเพียงทราบว่า มันต้องเป็นบุรุษผู้หนึ่ง
ถามว่าทำไม คำตอบก็คือ
“เพราะมันมิเพียงปล้นทรัพย์ทั้งยังพร่าสวาท ในยุทธจักรไม่ว่าฝ่ายธรรมะหรืออธรรมจึงล้วนเคียดแค้นมันจับใจ แต่ไม่มีปัญญาทำอย่างไรมันได้ เพราะขอเพียงมีคนประกาศตัวเป็นศัตรูกับมันไม่ถึง 3 วันก็ต้องตาย ที่ทรวงอกล้วนปรากฏรอยสัญลักษณ์ประจำตัวมัน”
นั่นย่อมเป็นเรื่องอึกทึกครึกโครมเมื่อ 30 ปีก่อน
อยู่ๆ “โจรดอกเหมย” ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เป็นการปรากฏเมื่อครึ่งปีก่อน ชั่วระยะเวลาเพียง 7-8 เดือนก็ประกอบคดีใหญ่ 70-80 คดี
แม้กระทั่งธิดาของเจ้าสำนักฮั้วซัวยังถูกมันข่มขืนย่ำยี
นับตั้งแต่ “โจรดอกเหมย” ปรากฏกายเป็นคำรบ 2 ชาวยุทธจักรที่พอมีฐานะอยู่บ้างล้วนวิตกถึงภัยอันตราย
สตรีที่พอมีรูปโฉมโนมพรรณยิ่งกินไม่ได้นอนไม่หลับ
ดังนั้น มีคนในตระกูลใหญ่ 90 กว่าตระกูลลอบทำความตกลงว่า ไม่ว่าผู้ใดฆ่าโจรดอกเหมยได้จะแบ่งปันสมบัติของตระกูลให้ส่วนหนึ่ง
นี่ย่อมเป็นจำนวนที่มากมายมหาศาล
นอกจากนั้น ยังมีคำประกาศจาก “สตรีที่บู๊ลิ้มยอมรับเป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งในแผ่นดิน” (สำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง) หรือ “สตรีที่ได้รับการยอมรับจากยุทธจักรว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน” (สำนวนแปล น.นพรัตน์)
“มิว่าเป็นพรตสงฆ์ ชราหรือฉกรรจ์ ผู้ใดสามารถกำจัดบ้วยฮวยเต๋าได้นางก็จะวิวาห์กับคนผู้นั้น” (สำนวน ว. ณ เมืองลุง)
“ไม่ว่าเป็นหลวงจีน ฆราวาส ตลอดจนชรา ฉกรรจ์ ขอเพียงสามารถกำจัดโจรดอกเหมยได้นางก็จะแต่งงานกับมัน” (สำนวน น.นพรัตน์)
มาถึงตอนนี้ลี้คิมฮวงก็ประจักษ์แจ้งแก่ใจ
เป็นการประจักษ์แจ้งแก่ใจบนฐานแห่งบทสรุปว่า “สมบัติและหญิงงามล้วนโยกคลอนจิตใจคน” และจากความสันทัดจัดเจนจากที่ผู้คนเสาะหาและแย่งชิง “กิมซีกะ” หรือ “เกราะใยทอง”
1 เพราะว่าสัญลักษณ์ของบ๊วยฮวยเต๋าคือ คราบโลหิตอันเหมือนดอกเหมย 5 จุดที่ทรวงอก
ขณะเดียวกัน 1 เพียงใส่ “เกราะใยทอง” ก็สามารถหลีกเลี่ยงการออกอาวุธอันเร้นลับและสามารถสยบบ้วยฮวยเต๋าได้
ไม่ว่าจะเป็นกระบี่พายุ (กิ๊บฮวงเกี่ยม) จูกัวลุ้ย ไม่ว่าจะเป็นสองอสรพิษเลือดสีเขียว (เพ็กฮวยซังจั๊ว) อสรพิษขาว อสรพิษดำ
ไม่ว่าจะเป็นยี่มินยี้นึ้ง (ยี่นึ้งหน้าม่วง) ซุนคุ้ย ไม่ว่าจะเป็นเซี้ยงมุ้งฮูหยิน (ฮูหยินกุหลาบหนู)
และก็พลอยกวาดรวมเอาลี้คิมฮวงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการตามหาเกราะใยทอง กิมซีกะ อันกระเดื่องดังในยุทธจักรด้วย
ทั้งๆ ที่เรื่องราวของ “บ้วยฮวยเต๋า” (โจรดอกเหมย) เป็นเรื่องเมื่อ 30 ปีก่อน
ทั้งๆ ที่หากสืบสาวราวเรื่องอย่างเข้มงวดระหว่างเมื่อ 30 ปีก่อนกับที่เพิ่งอึกทึกขี้นในห้วงครึ่งปีหลัง
น่าเชื่อว่า “คนผู้นี้สมควรมีอายุ 70 ปี”
น่าเชื่อว่า “คนผู้นี้ไม่น่าจะสามารถข่มขืนหญิงงามได้อย่างที่ร่ำลือกัน”
และเพราะถูกป้าย “หม้อดำ” จากกรณีห่อผ้า “ลึกลับ” ซึ่งเสาะหากันตั้งแต่นอกด่านกระทั่งมาถึงโรงเตี๊ยมตลอดสองรายทางนั้นเอง
ทำให้ “ลี้คิมฮัว” ประสบเข้ากับ “คนในชุดเขียว” ผู้หนึ่ง