ตร.พลาดท่า ‘แก๊งตกเบ็ด’ ตั๋วกฐิน 5.7 ล้านนั่ง ผกก.ทิพย์ ดับเครื่องชนร้องกองปราบฯ/โล่เงิน

โล่เงิน

 

ตร.พลาดท่า ‘แก๊งตกเบ็ด’

ตั๋วกฐิน 5.7 ล้านนั่ง ผกก.ทิพย์

ดับเครื่องชนร้องกองปราบฯ

 

สังคมฮือฮา กรณี “ตั๋ว ผกก.ทิพย์” ที่มีรอง ผกก.คนหนึ่งทางภาคอีสาน ออกมาเปิดโปงเรื่องของตัวเองให้เอาผิดกับขบวนการหลอกขายตำแหน่ง ที่บังเอิญไปรู้จักกลุ่มคนมีภาพลักษณ์ “สายบุญ” ชวนทอดกฐินวีไอพีหลายวัด หมดไป 5.7 ล้านบาทเพื่อแลกการขึ้น “เก้าอี้ ผกก.” แต่ในที่สุดกินแห้ว

กรณีแบบนี้ไม่ค่อยปรากฏให้เห็น ที่นักวิ่งเต้นอกหัก กล้าออกมาดับเครื่องชน

แจ้งความเอาผิดแล้วตัวเองยอมตกเป็นผู้ต้องหาด้วย

 

ย้อนไปเมื่อ16 มีนาคมที่ผ่านมา ภรรยาของรอง ผกก.คนนั้นพร้อมทนาย ทั้ง “ทนายโนบิตะ” นายกฤษฎา โลหิตดี ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ และหมอปลา มือปราบสัมภเวสี มาร้อง พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. กรณีสามีโดนเครือข่ายหลอกขายตำแหน่งข้าราชการ มี “2 เจ๊” และบุคคลที่อ้างตัวเป็น ม.ล.

ได้แจ้งความที่ สภ.กู่แก้ว ภ.จว.อุดรธานี ปลายปี 2564 แต่อยากให้โอนคดีมาที่กองบังคับการปราบปราม

พร้อมย้อนเรื่องราวให้ฟังว่า ไปรู้จักกับ “เจ๊คนที่ 1” จากกลุ่มเพื่อนสามี แล้วชวนไปทำบุญร่วมกันหลายหน จนทราบว่าสามีจะขึ้น ผกก. ระหว่างนั้น “เจ๊คนที่ 1” ขอให้ช่วยทำบุญกฐิน 200,000 บาทก็ไม่ขัดศรัทธา

ต่อมา “เจ๊คนที่ 1” ได้นัดหมายกับรอง ผกก.มาเจอกันที่ร้านส้มตำซึ่งเป็นของ “เจ๊คนที่ 2” และบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็น ม.ล.

โดย “เจ๊คนที่ 1” แนะนำว่าสองคนนี้รู้จัก “บิ๊กเนม” นักการเมืองและตำรวจ ที่สำคัญ ม.ล.สายสัมพันธ์ถึงระดับคีย์แมนเพาเวอร์ฟูล

จากนั้นมีการชักชวนให้โอนเงินทอดกฐินวีไอพีอีกหลายครั้ง รวมเป็นจำนวนเงิน 5,750,000 บาท

แต่ในที่สุดเมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา บัญชีแต่งตั้งประกาศออกมา ปรากฏว่าไม่มีชื่อสามี จึงทวงถามไป ปรากฏว่าได้รับเงินคืนมาบางส่วน ยังเหลือ 4.6 ล้านบาท

“ทนายโนบิตะ” ได้ขยายความให้ชัดเจนว่า ลักษณะของขบวนการนี้คือมีการตีสนิทเข้ามาชักชวนให้ทำบุญงานกฐิน แล้วหนึ่งในขบวนการมีบุคคลที่มีบรรดาศักดิ์เป็น ม.ล. มักจะนัดหมายเหยื่อให้มาที่ร้านอาหารของขบวนการ แล้วมีการโน้มน้าวชักจูงเหยื่อด้วยการอ้างว่ารู้จักกับคนมีชื่อเสียงในสังคม เพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อ และโอนเงินให้

การขอให้โอนเงินแต่ละครั้ง ก็มีกลยุทธ์หลอกล่อ ขบวนการทำทีช่วยออกคนละครึ่งบ้าง หรืออ้างว่าคู่แข่งมาแรง ต้อง “วัด” กันด้วยยอดเงินทำบุญ เป็นต้น

 

หลังจากร้องกองปราบฯ แล้ว “หมอปลา” นำทีมเมียรอง ผกก.และทนายไปลุยร้านส้มตำของทีมนี้ ปรากฏว่า ร้านปิด สอบถามคนที่ดูแลร้านบอกว่าปิดได้กว่า 1 สัปดาห์ เนื่องจากโควิดระบาด ทำให้มีลูกค้าน้อย เปิดขายเพียงเดลิเวอรี่เท่านั้น

ทนายโนบิตะจึงต่อสายหา “เจ๊คนที่ 2” เพื่อถามเรื่องข้อตกลงกับผู้เสียหายว่าจะคืนเงินให้ แต่ได้รับคำตอบกลับมาว่าขอเลื่อนนัดไปก่อน เนื่องจากตอนนี้คนที่ร้านติดโควิดหลายคนและตัวเองต้องกักตัวยังไม่สะดวก

ต่อมาทีมหมอปลาขยายผล ทราบว่า “เจ๊คนที่ 2” เอี่ยวขบวนการหลอกขายโควต้าล็อตเตอรี่ และยังเป็นที่สงสัยว่าเป็นตัวละครที่อ้างว่าสนิทบิ๊กสีกากีดีลธุรกิจปิ่นโตอาหารกลางวันที่มีเงินทอน หรือไม่

ประวัติไม่ธรรมดาขนาดนี้รู้ทันทีว่า อ้อยเข้าปากช้างไปแล้วคงคายยาก รอง ผกก.เครียดมาก ถึงขนาดมีความคิดแว้บขึ้นมาว่า จะไปตามฆ่าตัวละครในขบวนการนี้ให้ตายทั้งหมด แล้วฆ่าตัวตายตาม

แต่ในที่สุดหันหน้าพึ่งกระบวนการยุติธรรม ตัวเองยอมเจ็บตัวด้วย

 

งานนี้ พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก ตร.ระบุชัดเจน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้ยืนยันเด็ดขาดอย่าให้มีการซื้อขายตำแหน่ง ได้สั่งการกำชับให้ดำเนินการเอาผิดกับกลุ่มขบวนการดังกล่าวอย่างจริงจังถ้ามี

“สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไม่ปกป้องผู้กระทำความผิดอย่างแน่นอน จะเห็นได้ว่าในการประชุม ก.ตร.ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีมติไล่ออก ปลดออก พร้อมดำเนินคดีกับข้าราชตำรวจที่กระทำความผิดทั้งวินัยและอาญาตลอดมา ไม่ได้นิ่งนอนใจ” โฆษก ตร.กล่าว

ต่อมาทราบจาก พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. ได้แจ้งให้ทราบว่า กองปราบฯ ได้รับคดีไว้แล้ว ตามที่ผู้เสียหายได้แจ้งความดำเนินคดีกับขบวนการฐานความผิดร่วมกันฉ้อโกงผู้อื่นและความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ที่ สภ.กู่แก้ว ภ.จว.อุดรธานี

พร้อมระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. ได้กำชับเกี่ยวกับการดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในทุกวาระประจำปี ให้ดำเนินการตามระเบียบกฎหมายและระบบคุณธรรมมาโดยตลอด

พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้ ผบ.ตร.ทำการสืบสวนสอบสวน ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หากพบมีข้าราชการตำรวจไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือกระทำความผิด

ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและทางวินัยอย่างเด็ดขาดต่อไป

 

“ผบ.ตร.จึงได้สั่งการทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง สืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง หากพบมีตำรวจไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือกระทำความผิดให้ดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางวินัยอย่างเด็ดขาด จะไม่ปกป้องผู้กระทำความผิดอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม กรณีนี้จะทำการสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ด้วยความรวดเร็ว ตรงไปตรงมา หากพบมีการกระทำความผิดก็จะดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย ทั้งทางอาญาและทางวินัยอย่างเด็ดขาด ไม่มีปล่อยไว้” พ.ต.อ.กฤษณะกล่าว

ปฏิเสธไม่ได้ว่าตำรวจมีข้อครหาวิ่งเต้น ซื้อเก้าอี้ ครึกโครมที่สุด ทั้งหมดนี้เพราะขาดความเชื่อมั่นในระบบแต่งตั้งโยกย้ายที่เป็นธรรม

กรณีเกิดคดี “ตั๋ว ผกก.ทิพย์” ขึ้นมา ถือเป็นการป้องปราบขบวนการตกเบ็ดทั้งหลาย ที่สำคัญเป็นอุทาหรณ์นักวิ่งเต้นว่า นอกจากสูญเงินแล้วยังตกเป็นผู้ต้องหา ไร้อนาคตรับราชการด้วย

ถือเป็นโจทย์ที่ผู้มีอำนาจต้องแก้ไข “ระบบ” แต่งตั้งโยกย้ายให้มีธรรมาภิบาล ไม่ใช่ใช้เงินซื้อตำแหน่ง แล้วไปรับส่วย กินสินบน ถอนทุนคืนต่อไป