ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 31 มีนาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | อาชญากรรม |
เผยแพร่ |
อาชญา ข่าวสด
โผล่อีก ‘รับน้องโหด’
แฉรุ่นพี่เรียงหน้าชก
หนุ่มวัย 19 ดับสลด
พ่อร่ำไห้-รับศพลูก
กลายเป็นความสูญเสียอย่างที่ไม่คาดคิดเลยว่าในยุคนี้สมัยนี้ยังจะมีขึ้นอีก
นั่นก็คือการเสียชีวิตของน้องเปรม ชายหนุ่มวัย 19 ปี ที่เข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาชั้นนำ อย่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
แต่แทนที่จะได้รับความรู้ จบออกมาทำงานทำการ เป็นหลักให้ครอบครัว และช่วยพัฒนาบ้านเมือง กลับต้องจบชีวิตด้วยกิจกรรมรับน้อง ทั้งที่กิจกรรมดังกล่าว ก็คือการดื่มเหล้า ซ้อมทำร้ายร่างกายจากรุ่นพี่ ที่นอกจากเป็นวิธีป่าเถื่อน รุนแรง สะท้อนถึงวัฒนธรรมอำนาจนิยมที่ตกยุคแล้ว
ยังไม่เห็นว่าจะมีความปรารถนาดีสักเพียงเศษเสี้ยวที่มีให้กับรุ่นน้องไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดๆ
และแน่นอนหลังจากเกิดเหตุ ถูกดำเนินคดี ข้ออ้างเรื่องรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ถูกนำมาใช้อธิบายถึงเรื่องราวดังกล่าว
จึงกลายเป็นคำถามว่า ทั้งนักศึกษา และสถานศึกษา ไม่ได้เรียนรู้ถึงความผิดพลาดในอดีตบ้างเลยหรือไร
และจะปล่อยให้เป็นแบบนี้อีกต่อไปหรือไม่ และในที่สุดแล้วจะต้องมีคนสังเวยชีวิตกับกิจกรรมรับน้องอีกหรือไม่อย่างไร

เจออีกรับน้องโหดถึงดับ
เหตุสลดครั้งนี้เกิดขึ้น เกิดเมื่อค่ำวันที่ 14 มีนาคม ในพื้นที่ ต.หนองระเวียง อ.เมือง จ.นครราชสีมา โดยก่อนเกิดเหตุมีนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน หรือ มทร.อีสาน ซึ่งเป็นนักศึกษารุ่นพี่ 25 คน พานักศึกษารุ่นน้องจำนวน 38 คน ไปทำกิจกรรมรับน้องในพื้นที่รกร้างที่เป็นไร่อ้อย ในพื้นที่หมู่ 14 ต.หนองระเวียง อยู่ห่างจาก มทร.อีสาน ศูนย์การศึกษาหนองระเวียง ประมาณ 10 กิโลเมตร โดยอ้างว่ามาเตะฟุตบอล
แต่เมื่อมาถึงกลับเป็นกิจกรรมรับน้อง โดยให้รุ่นน้องร้องเพลงเกี่ยวข้องกับคณะวิชาช่างกลโรงงาน หากใครร้องผิดจะถูกลงโทษโดยใช้หมัดชกต่อยเข้าที่บริเวณหน้าอกและท้อง ในระหว่างนั้นได้บังคับให้ดื่มสุราและทำกิจกรรมด้วย
ขณะที่กิจกรรมดำเนินไป จนกระทั่งเวลาประมาณ 23.00 น. ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อน้องเปรม นายพัสยศ ชลภักดี นักศึกษาชั้น ปวส.ปี 1 แผนกช่างกลโรงงาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ที่ไปร่วมกิจกรรม ถูกรุ่นพี่ชกไปที่หน้าอก หมดสติล้มฟุบไปกับพื้น
สอบสวนรุ่นพี่ให้การว่าได้พยายามช่วยเหลือ แต่ไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมา สังเกตใบหน้าและริมฝีปากมีลักษณะผิดปกติ จึงช่วยกันหามร่างน้องเปรมที่หมดสติขึ้นท้ายรถกระบะนำไปส่งโรงพยาบาลค่ายสุรนารี อ.เมือง ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 20 กิโลเมตร แต่สุดท้ายไม่สามารถยื้อชีวิตเอาไว้ได้
ขณะที่นักศึกษาชั้น ปวส.ปี 1 แผนกช่างกลโรงงาน เพื่อนร่วมชั้นเรียนของน้องเปรม เล่าเหตุการณ์ว่า วันเกิดเหตุมีกลุ่มรุ่นพี่กว่า 20 คน ประสานงานรุ่นน้องทั้งชายและหญิง 38 คน ไปจัดกิจกรรมรับน้องในป่าที่เกิดเหตุ โดยเริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 20.00 น.ของวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา โดยรุ่นพี่อ้างว่าเป็นกิจกรรมการรับน้องในรอบปี ทั้งนี้ รุ่นพี่ได้ขับรถยนต์กระบะ 4-5 คัน มารับกลุ่มรุ่นน้องไปยังจุดเกิดเหตุซึ่งเป็นไร่อ้อยกลางทุ่งนาโล่งเตียน สภาพมืดมาก เพื่อนของตนหลายคนพากันหวาดกลัว
ก่อนเกิดเหตุ รุ่นพี่สั่งรุ่นน้องผู้ชายถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด เปลือยกายล่อนจ้อน นอนเรียงแถวกับพื้น หากไม่พอใจก็จะถูกรุ่นพี่ชกที่หน้าท้องหรือถีบหลัง จากนั้นสั่งให้ร้องเพลงประจำแผนก ใครร้องเพลงผิดเพี้ยนก็จะถูกทำโทษ ทั้งเตะ ถีบ ชก
โดยจังหวะที่น้องเปรมถูกทำร้าย พวกตน 5 คนยืนห่างกัน เวลารุ่นพี่เดินผ่าน ทุกคนก็พากันกลัว เปรมโดนหนักหลายรอบ ทั้งชกหน้าท้อง และหน้าอกไปหลายรอบ ถูกชกด้วยมือเปล่า จนต้องถามว่าไหวไหม ทำให้มีรุ่นพี่คนหนึ่งชกเข้าที่ลิ้นปี่ของเปรม จนเปรมล้มทรุดลงกองกับพื้นหมดสติไป ก่อนจะนำตัวส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตในเวลาต่อไป
ทั้งหมดล้วนเป็นการรุมทำร้ายอย่างทารุณ

ฟัน 7 รุ่นพี่เรียงชกจนตาย
ขณะที่ความคืบหน้าด้านคดีความ พ.ต.อ.คณัสนันท์ สุวรรณทรัพย์ ผกก.สภ.มะเริง เปิดเผยว่า เรียกรุ่นพี่มาสอบปากคำทั้งหมด 7 ปาก เพื่อสอบสวนหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยกลุ่มรุ่นพี่ทั้งหมดยอมรับว่าในวันเกิดเหตุ จัดกิจกรรมรับน้องนอกสถานที่จริง โดยไม่เกี่ยวข้องกับทางมหาวิทยาลัย กลุ่มรุ่นพี่ทุกคนก็มีความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอยอมรับผิด
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตายกับกลุ่มรุ่นพี่ทั้ง 7 คนแล้ว ส่วนศพของน้องเปรมนั้น ส่งพิสูจน์ศพที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ และพบว่าติดเชื้อโควิด-19 ด้วย ดังนั้น การผ่าพิสูจน์ศพจึงต้องผ่าในห้องความดันลบ เพื่อเป็นการป้องกันเชื้อกระจาย
นอกจากนี้ ยังได้ขยายผลสอบสวนรุ่นพี่ที่อยู่ในที่เกิดเหตุทั้ง 25 คน และแจ้งข้อหาฐานความผิดร่วมกันทำให้ผู้อื่นขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล และความผิดฐานฝ่าฝืนพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 โดยได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนเร่งรัดสรุปสำนวนคดีภายใน 30 วัน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ขณะที่นายเอกชัย ชลภักดี อายุ 55 ปี พ่อของน้องเปรม ที่เดินทางจาก จ.นครศรีธรรมราช เพื่อมารับศพลูกที่โรงพยาบาลค่ายสุรนารี ระบุว่า เมื่อมาถึงตนก็เจอกับกลุ่มรุ่นพี่ที่ทำร้ายน้องเปรมจนเสียชีวิตแล้ว โดยมีทั้งหมด 6 คน เป็นผู้ชายทั้งหมด โดยรุ่นพี่ทั้ง 6 คนก็ได้กราบเท้า และกล่าวขอโทษกับตน
จนต้องถามว่า ทำไมต้องทำกันรุนแรงอย่างนี้ พร้อมทั้งต่อว่าไปหลายอย่าง โดยที่รุ่นพี่ทุกคนก็ยอมรับผิด
ขณะที่ผู้ปกครองของรุ่นพี่ทั้ง 7 ก็เดินทางมาพบนายเอกชัยที่ สภ.มะเริง ตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ และยกมือไหว้ขอโทษแทนบุตรหลานด้วยความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ต่อมาในงานฌาปนกิจศพน้องเปรม นายเอกชัยระบุว่า ผู้ปกครองของนักศึกษารุ่นพี่ พูดคุยและเสนอเงินเยียวยาให้กับครอบครัว 5 แสนบาท แต่ยืนยันว่าจะไม่ขอรับเงินส่วนนี้ไว้เด็ดขาด ขอให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด
จากนี้ตนเองก็จะได้นำอัฐิของน้องเปรมกลับไปที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อบรรจุอัฐิที่บ้านเกิด
เป็นความสูญเสียของผู้เป็นพ่อที่ไม่มีอะไรจะทดแทนได้

มทร.อีสานเสนอเยียวยา
สําหรับท่าทีของมหาวิทยาลัยนั้น ผศ.สุรพจน์ วัชโรภากุล รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในกิจกรรมรับน้องที่เกิดขึ้น เผยว่า ได้เรียกกลุ่มนักศึกษารุ่นพี่ ปวส.ชั้นปีที่ 2 และกลุ่มนักศึกษารุ่นน้อง ปวส.ชั้นปีที่ 1 สาขาช่างกลโรงงาน วิทยาลัยนวัตกรรมวิชาชีพ 60 คน ที่เข้าร่วมในกิจกรรมรับน้อง มาสอบสวน
โดยเป็นการดำเนินการคนละส่วนกับการสอบสวนทางคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อนำผลการสอบสวนข้อเท็จจริง ส่งไปให้คณะกรรมการทางปกครองของทางมหาวิทยาลัยพิจารณาบทลงโทษกลุ่มนักศึกษารุ่นพี่ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมรับน้อง
เบื้องต้นกลุ่มนักศึกษารุ่นพี่ 7 คน ที่ถูกตำรวจแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการก่อเหตุชกท้องนักศึกษารุ่นน้อง จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต ถือว่ามีความผิดร้ายแรง มีโทษถึงขั้นให้พ้นสภาพนักศึกษา หรือไล่ออก
ส่วนกลุ่มนักศึกษารุ่นพี่คนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมรับน้อง ก็จะมีความผิดทางวินัย โทษตั้งแต่ภาคทัณฑ์ ตัดคะแนนความประพฤติ และพักการเรียน ซึ่งคาดว่าจะสรุปผลทั้งหมดได้ภายใน 7 วัน โดยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงยืนยันจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และไม่มีการช่วยเหลือผู้กระทำผิดอย่างแน่นอน
นายสรวิศ ต.ศิริวัฒนา ผู้ช่วยอธิการบดี มทร.อีสาน ระบุว่า น้องเปรมผู้ตายมีภรรยาคือ น.ส.พิมพรรณ เพ็ชรยิ้ม ซึ่งกำลังศึกษาที่ มทร.อีสาน และมีบุตรด้วยกัน ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่ามีความตั้งใจกลับไปศึกษาต่อ โดยขอปรับเปลี่ยนการเรียนเป็นภาคนอกเวลา ซึ่งอาจารย์ที่ปรึกษาของสาขาวิชาที่นักศึกษาศึกษาอยู่ จะเป็นผู้ดูแลในเรื่องแผนการศึกษาเพื่อให้สามารถจบการศึกษาได้ ตามที่ น.ส.พิมพรรณ และทางมหาวิทยาลัยจะดูแลและสนับสนุนในเรื่องทุนการศึกษาต่อไป
นอกจากนี้ มทร.อีสาน ช่วยเหลือเงิน 5 หมื่นบาท ศิษย์เก่า ปวส.สาขาช่างกลโรงงาน 1 แสนบาท ประกันชีวิตนักศึกษา 1.5 แสนบาท
ถือเป็นการช่วยเหลือเยียวยาในระดับหนึ่ง
แต่หากไม่มีการแก้ไขจัดการอย่างเป็นระบบ ที่ต้องขับเคลื่อนทั้งจากรัฐบาล สถานศึกษา และกลุ่มนักศึกษารุ่นพี่ รุ่นน้อง ให้ตระหนักถึงสิทธิ และเลิกพฤติกรรมรับน้องที่ใช้บังหน้ากับกิจกรรมอำนาจนิยมเช่นนี้
ความสูญเสียครั้งนี้ก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
ส่วนจะทำได้มากน้อยเพียงใด สังคมคงต้องจับตาและร่วมกันกดดัน!!