ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 31 มีนาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | คนมองหนัง |
ผู้เขียน | คนมองหนัง |
เผยแพร่ |
“Benedetta” คือผลงานภาพยนตร์เมื่อปี 2021 ของ “พอล เวอร์โฮเวน” คนทำหนังรุ่นเก๋าวัย 83 ปี ชาวเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีผลงานโด่งดังมากมาย อาทิ RoboCop, Total Recall, Basic Instinct และ Elle
เนื้อหาของ “Benedetta” ดัดแปลงจากบันทึกประวัติศาสตร์ยุคศตวรรษที่ 17 ว่าด้วยนักบวชหญิงในคอนแวนต์ที่อิตาลี ผู้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ แต่ขณะเดียวกัน เธอก็กล่าวอ้างว่าตนเองสามารถติดต่อสื่อสารกับพระเยซูได้
ทั้งหมดนำไปสู่ความขัดแย้งภายในโบสถ์ท้องถิ่น การเข้ามาแทรกแซงของพระสมณทูตจากศาสนจักร และการลุกฮือขึ้นของมวลชน
เงื่อนปมปัญหาต่างๆ ข้างต้นถูกขับเคลื่อนโดยเรื่องราวแนวชิงดีชิงเด่นคลุกเคล้าด้วยกิเลส-ตัณหา-ราคะ ที่สนุกสนานเปี่ยมสีสัน (ไม่แพ้ละครหลังข่าวบ้านเรา) ผนวกกับฉากเปลือยกายที่หาได้ไม่ง่ายนักในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดยุคหลัง
ล่าสุด “Benedetta” เพิ่งจะได้ฤกษ์ลงจอออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มเน็ตฟลิกซ์ ผู้เขียนจึงขออนุญาตแปล-เรียบเรียงบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ของเวอร์โฮเวน (ในต่างกรรมต่างวาระ) มานำเสนอ ณ ทีนี้
เพื่อผู้อ่านจะได้ใช้เป็นเชิงอรรถในการรับชมภาพยนตร์ต่อไป
: ระหว่างดู “Benedetta” ผู้ชมจะรู้สึกเหมือนคุณกำลังเล่นสนุกกับหนังเรื่องนี้
ทุกคน (ที่เกี่ยวข้องกับหนัง) มีความสนุก แม้แต่บรรดานักแสดงหญิง ทุกคนชอบที่จะทำงานในโปรเจ็กต์นี้ ทุกคนเดินทางมากองถ่ายด้วยอารมณ์ปีติยินดี มันไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น ทุกคนต่างก้าวไปข้างหน้าเพื่อทำให้ผลงานเรื่องนี้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น
แต่ความสนุกเป็นคนละเรื่องกับความเฮฮา ความสนุกหมายถึงการที่ทุกคนในกองมีความรู้สึกอยากจะเดินเข้าไปหาผู้กำกับฯ หรือผู้ช่วยผู้กำกับฯ แล้วบอกว่า “เรามีวิธีแก้ปัญหาอีกแบบหนึ่งนะ” ทุกกระบวนการในการทำงานจึงเปิดกว้างและเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ทุกคนเดินเข้ามาพร้อมไอเดียต่างๆ
ผมจึงรู้สึกสนุก ซึ่งต้องย้ำอีกรอบว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกเฮฮา แต่มันคือการมีความสุขในการได้ลงมือทำอะไรบางอย่างแบบนั้น อย่างไรก็ตาม บางทีเรื่องราวของหนังมันก็มีความตลกขบขันเจือปนอยู่ด้วย
: ดูคุณพยายามจะหักล้างอำนาจของศาสนจักรโรมันคาทอลิก ด้วยการแสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจหลายอย่างของศาสนจักรนั้นเกิดจากแรงจูงใจเรื่องอำนาจทางการเมือง มากกว่าจะเป็นแรงจูงใจทางด้านศาสนา
ต้องยอมรับว่าศาสนจักรคาทอลิกในยุคกลางเคยกระทำเรื่องผิดบาปจริงๆ สิ่งที่พวกเขาทำในกระบวนการไต่สวน (ผู้ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมนอกรีต) นั้นน่าสยดสยองมาก สิ่งที่พวกเขาทำระหว่างสงครามครูเสด คือ การฆ่าคนยิวที่พวกเขาได้พบเจอตามรายทาง เพื่อแก้แค้นให้พระเยซู
ศาสนจักรทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้อยู่หลายร้อยปี ทั้งยังมีแนวคิดเรื่องการลงโทษบรรดาสตรีที่ใช้อุปกรณ์สอดใส่ในระหว่างการร่วมเพศด้วยการจับพวกเธอไปมัดกับเสาแล้วเผาด้วยไฟ คุณต้องเป็นคนแบบไหนจึงจะสามารถจินตนาการถึงวิธีคิดที่โหดร้ายขนาดนั้นได้?
: ในความเป็นจริง ตัวละครนำหญิงทั้งสองคนรอดชีวิตจากการถูกศาสนจักรลงโทษหรือไม่?
เราไม่ทราบอะไรมากนักเกี่ยวกับ “บาร์โตโลเมอา” สำหรับ “เบเนเดตต้า” ศาสนจักรไม่ได้พยายามจะสังหารเธอ พวกเขาจับเธอขังเดี่ยวไว้ในคอนแวนต์ เธอถูกห้ามไม่ให้มีปฏิสัมพันธ์กับแม่ชีคนอื่นๆ เธอได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพิธีมิสซา แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้รับประทานอาหารร่วมกับนักบวชหญิงที่เหลือ เธอถูกบังคับให้ต้องนั่งกินอาหารบนพื้นเป็นเวลานาน 40 ปี
วิถีทางที่ศาสนจักรดำเนินไป ตั้งแต่ยุคกลางจนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่การเดินตามพระเยซู แต่เป็นอะไรอย่างอื่น
: คุณเคยเขียนหนังสือชื่อ “Jesus of Nazareth” ทั้งยังเป็นสมาชิกของ “the Jesus Seminar” กลุ่มนักวิชาการที่ศึกษาประวัติศาสตร์รายรอบเรื่องราวของพระเยซู แสดงว่าคุณเป็นคนเคร่งศาสนาใช่ไหม?
ไม่เลย ผมไม่ได้เขียนหนังสือในฐานะ “ผู้เลื่อมใสศรัทธา” แต่ผมสนใจเรื่องราวของพระเยซูมากๆ เพราะท่านมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวัฒนธรรมของเราและพัฒนาการของลัทธิมนุษยนิยม ด้วยเหตุนี้ ผมจึงศึกษาเรื่องพระเยซู และอ่านหนังสือจำนวนมากมายมหาศาลเกี่ยวกับท่าน
: ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ “เบเนเดตต้า” ได้ใช้ “ดิลโด้พระแม่มารีย์” จริงๆ หรือไม่?
ไม่มีหลักฐานบันทึกไว้ อันที่จริงแล้ว พวกเธอไม่ได้ใช้เครื่องมือช่วยใดๆ ในขณะมีเพศสัมพันธ์ แต่ในหนัง ผมต้องการให้ “เบเนเดตต้า” ถูกลงโทษด้วยการจับไปเผาทั้งเป็น เพราะในความเป็นจริง เธอไม่ได้ถูกลงโทษแบบนั้น ผมเลยรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ
ผมต้องการให้ตอนจบของหนังมีบรรยากาศของ “การปฏิวัติ” เพื่อให้บรรดาสามัญชนลุกฮือขึ้นต่อต้านพระสมณทูตและปลดปล่อย “เบเนเดตต้า” เป็นอิสระ
ซึ่งสำหรับปี 1625 “เบเนเดตต้า” จะถูกจับไปมัดเสาแล้วเผาทั้งเป็นได้ ก็ต่อเมื่อเธอใช้อุปกรณ์สอดใส่ในระหว่างการร่วมเพศ
: ในระหว่างการแถลงข่าวที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (หนังฉายรอบปฐมทัศน์โลกที่นั่น) คุณรู้สึกรำคาญบ้างไหม? เพราะเหมือนคุณจะค่อนข้างมีอารมณ์หงุดหงิด
ก็เพราะทุกๆ การสัมภาษณ์จะมีแต่คำถามเรื่องดิลโด้และเรื่องฉากเปลือย เรื่องเพศสัมพันธ์มันเป็นแก่นสารของชีวิตนะ ทำไมพวกเราต้องรู้สึกกลัวที่จะพูดความจริงเช่นนั้น? พวกเราเป็นสัตว์ พวกเราต้องมีลูก มิฉะนั้น เราก็จะสูญพันธุ์ แล้วทำไมเราถึงปิดซ่อนเรื่องพวกนั้นเอาไว้ล่ะ?
ทำไมพวกเราจึงกลัวว่าตัวเองจะถูกมองเป็นสัตว์? หมาของผม พวกม้า พวกเขาก็ทำเรื่องแบบนี้กันทั้งนั้น ทุกชีวิตล้วนมีพฤติกรรมอย่างนี้ เพราะพวกเราต่างเป็นสัตว์
ตอนนี้ เหมือนพวกเรากำลังพยายามปิดบังกิจกรรมดังกล่าว จนคล้ายว่าโลกนี้ไม่มีเรื่องเพศสัมพันธ์ หรือไม่มีใครไปทำอะไรกันในห้องน้ำ
: จากสถิติในปี 2020 ถึงปี 2021 กลายเป็นว่าหนังที่มีฉากเซ็กซ์ คือผลงานส่วนน้อยของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไปแล้ว
แนวโน้มนี้ดำเนินมาเป็น 20 ปีแล้ว มันเป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่นำไปสู่ความเคร่งครัดทางศีลธรรมในแบบ “พิวริตัน” แล้วคำถามที่มักเกิดขึ้นก็คือ “ทำไมคุณต้องโชว์ฉากเซ็กซ์?” ใช่ไหมล่ะ?
: เกิดอะไรขึ้นกับฉากเซ็กซ์ในหนังฮอลลีวู้ดกระแสหลัก?
คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่แค่ฮอลลีวู้ด แต่อยู่ที่วิถีชีวิตของพวกเราด้วย ผมอาศัยอยู่ที่กรุงเฮกซึ่งใกล้ชายหาด ในยุค 1970 ผู้หญิงร้อยละ 90 ต่างไปเที่ยวชายหาดโดยเปิดเปลือยร่างกายท่อนบน นั่นคือบรรทัดฐานของสังคม คุณต้องถอดบราออก
แต่ในตอนนี้ ถ้าคุณไปชายหาด คุณจะพบว่าผู้หญิงแทบทุกคนต่างใส่บรากันหมด นี่คือความเปลี่ยนแปลงในระดับมหาศาล การเปลือยกายและการมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้หายไปแค่ในหนังฮอลลีวู้ด แต่มันหายไปจากสังคมทั่วไปด้วย
เราเกิดความรู้สึกหวาดกลัวต่อการมีเพศสัมพันธ์และการนำเสนอภาพกิจกรรมดังกล่าว แม้ทุกคนจะตระหนักดีว่า ถ้าปราศจากกิจกรรมเหล่านั้น เราก็จะสูญพันธุ์ในสักวันหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ผมต้องบอกว่าการถ่ายทำ “Benedetta” ในประเทศฝรั่งเศสนั้น ไม่ได้เจอปัญหาใดๆ เลย เกี่ยวกับฉากเปลือยกาย ผมจำได้ว่าตอนอายุ 7 ขวบ ครอบครัวเรามักมาฮอลิเดย์กันที่ปารีส แล้วพ่อก็พาผมไปชมคาบาเร่ต์ ซึ่งจะมีโชว์ของกลุ่มนักแสดงหญิงเปลือยกาย อย่างน้อยที่สุด พวกเธอจะเปลือยร่างกายท่อนบนของตนเอง
จากมุมมองของคนดัตช์ นั่นคือประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจสุดๆ แต่สำหรับคนปารีส นั่นคือบรรทัดฐานปกติ มันคือการแสดงยอดนิยม มันไม่ได้ต้องหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน แล้วการแสดงเช่นนี้ก็ยังดำรงอยู่มาถึงปัจจุบัน
: จาก “Basic Instinct” และ “Flesh and Blood” จนมาถึง “Benedetta” หนังของคุณมักมีตัวละครที่เป็นเกย์หรือไบเซ็กช่วล หรือไม่ก็มีฉากร่วมรักของคนเพศเดียวกัน นั่นหมายความว่าคุณจงใจที่จะนำเสนอสายสัมพันธ์เช่นนี้บนจอภาพยนตร์ใช่หรือไม่?
ผมไม่ได้จงใจ แต่คนเหล่านี้คือประชากรที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก พฤติกรรมรักร่วมเพศคือส่วนหนึ่งในชีวิต ดังนั้น นี่จึงควรเป็นส่วนหนึ่งในศิลปะการแสดงของเราด้วยเช่นกัน ทำไมเราถึงจะต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในพฤติกรรมดังกล่าวล่ะ? ในเมื่อมันมีอยู่จริง
เรามีประชากรจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นไบเซ็กช่วล หรือเป็นคนรักเพศเดียวกัน หรือเป็นคนข้ามเพศ นั่นคือความจริง ผมจึงกลับมาหาเรื่องพวกนี้ เพราะมันคือสิ่งสามัญปกติของชีวิต
ข้อมูลจาก
https://www.indiewire.com/2021/07/benedetta-paul-verhoeven-interview-controversial-1234650603/