‘Benedetta’ : ความสนุก, ศาสนจักร และเซ็กส์ | คนมองหนัง

คนมองหนัง
Benedetta, Paul Verhoeven

“Benedetta” คือผลงานภาพยนตร์เมื่อปี 2021 ของ “พอล เวอร์โฮเวน” คนทำหนังรุ่นเก๋าวัย 83 ปี ชาวเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีผลงานโด่งดังมากมาย อาทิ RoboCop, Total Recall, Basic Instinct และ Elle

เนื้อหาของ “Benedetta” ดัดแปลงจากบันทึกประวัติศาสตร์ยุคศตวรรษที่ 17 ว่าด้วยนักบวชหญิงในคอนแวนต์ที่อิตาลี ผู้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ แต่ขณะเดียวกัน เธอก็กล่าวอ้างว่าตนเองสามารถติดต่อสื่อสารกับพระเยซูได้

ทั้งหมดนำไปสู่ความขัดแย้งภายในโบสถ์ท้องถิ่น การเข้ามาแทรกแซงของพระสมณทูตจากศาสนจักร และการลุกฮือขึ้นของมวลชน

เงื่อนปมปัญหาต่างๆ ข้างต้นถูกขับเคลื่อนโดยเรื่องราวแนวชิงดีชิงเด่นคลุกเคล้าด้วยกิเลส-ตัณหา-ราคะ ที่สนุกสนานเปี่ยมสีสัน (ไม่แพ้ละครหลังข่าวบ้านเรา) ผนวกกับฉากเปลือยกายที่หาได้ไม่ง่ายนักในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดยุคหลัง

ล่าสุด “Benedetta” เพิ่งจะได้ฤกษ์ลงจอออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มเน็ตฟลิกซ์ ผู้เขียนจึงขออนุญาตแปล-เรียบเรียงบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ของเวอร์โฮเวน (ในต่างกรรมต่างวาระ) มานำเสนอ ณ ทีนี้

เพื่อผู้อ่านจะได้ใช้เป็นเชิงอรรถในการรับชมภาพยนตร์ต่อไป

: ระหว่างดู “Benedetta” ผู้ชมจะรู้สึกเหมือนคุณกำลังเล่นสนุกกับหนังเรื่องนี้

ทุกคน (ที่เกี่ยวข้องกับหนัง) มีความสนุก แม้แต่บรรดานักแสดงหญิง ทุกคนชอบที่จะทำงานในโปรเจ็กต์นี้ ทุกคนเดินทางมากองถ่ายด้วยอารมณ์ปีติยินดี มันไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น ทุกคนต่างก้าวไปข้างหน้าเพื่อทำให้ผลงานเรื่องนี้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น

แต่ความสนุกเป็นคนละเรื่องกับความเฮฮา ความสนุกหมายถึงการที่ทุกคนในกองมีความรู้สึกอยากจะเดินเข้าไปหาผู้กำกับฯ หรือผู้ช่วยผู้กำกับฯ แล้วบอกว่า “เรามีวิธีแก้ปัญหาอีกแบบหนึ่งนะ” ทุกกระบวนการในการทำงานจึงเปิดกว้างและเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ทุกคนเดินเข้ามาพร้อมไอเดียต่างๆ

ผมจึงรู้สึกสนุก ซึ่งต้องย้ำอีกรอบว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกเฮฮา แต่มันคือการมีความสุขในการได้ลงมือทำอะไรบางอย่างแบบนั้น อย่างไรก็ตาม บางทีเรื่องราวของหนังมันก็มีความตลกขบขันเจือปนอยู่ด้วย

: ดูคุณพยายามจะหักล้างอำนาจของศาสนจักรโรมันคาทอลิก ด้วยการแสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจหลายอย่างของศาสนจักรนั้นเกิดจากแรงจูงใจเรื่องอำนาจทางการเมือง มากกว่าจะเป็นแรงจูงใจทางด้านศาสนา

ต้องยอมรับว่าศาสนจักรคาทอลิกในยุคกลางเคยกระทำเรื่องผิดบาปจริงๆ สิ่งที่พวกเขาทำในกระบวนการไต่สวน (ผู้ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมนอกรีต) นั้นน่าสยดสยองมาก สิ่งที่พวกเขาทำระหว่างสงครามครูเสด คือ การฆ่าคนยิวที่พวกเขาได้พบเจอตามรายทาง เพื่อแก้แค้นให้พระเยซู

ศาสนจักรทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้อยู่หลายร้อยปี ทั้งยังมีแนวคิดเรื่องการลงโทษบรรดาสตรีที่ใช้อุปกรณ์สอดใส่ในระหว่างการร่วมเพศด้วยการจับพวกเธอไปมัดกับเสาแล้วเผาด้วยไฟ คุณต้องเป็นคนแบบไหนจึงจะสามารถจินตนาการถึงวิธีคิดที่โหดร้ายขนาดนั้นได้?

: ในความเป็นจริง ตัวละครนำหญิงทั้งสองคนรอดชีวิตจากการถูกศาสนจักรลงโทษหรือไม่?

เราไม่ทราบอะไรมากนักเกี่ยวกับ “บาร์โตโลเมอา” สำหรับ “เบเนเดตต้า” ศาสนจักรไม่ได้พยายามจะสังหารเธอ พวกเขาจับเธอขังเดี่ยวไว้ในคอนแวนต์ เธอถูกห้ามไม่ให้มีปฏิสัมพันธ์กับแม่ชีคนอื่นๆ เธอได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพิธีมิสซา แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้รับประทานอาหารร่วมกับนักบวชหญิงที่เหลือ เธอถูกบังคับให้ต้องนั่งกินอาหารบนพื้นเป็นเวลานาน 40 ปี

วิถีทางที่ศาสนจักรดำเนินไป ตั้งแต่ยุคกลางจนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่การเดินตามพระเยซู แต่เป็นอะไรอย่างอื่น

: คุณเคยเขียนหนังสือชื่อ “Jesus of Nazareth” ทั้งยังเป็นสมาชิกของ “the Jesus Seminar” กลุ่มนักวิชาการที่ศึกษาประวัติศาสตร์รายรอบเรื่องราวของพระเยซู แสดงว่าคุณเป็นคนเคร่งศาสนาใช่ไหม?

ไม่เลย ผมไม่ได้เขียนหนังสือในฐานะ “ผู้เลื่อมใสศรัทธา” แต่ผมสนใจเรื่องราวของพระเยซูมากๆ เพราะท่านมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวัฒนธรรมของเราและพัฒนาการของลัทธิมนุษยนิยม ด้วยเหตุนี้ ผมจึงศึกษาเรื่องพระเยซู และอ่านหนังสือจำนวนมากมายมหาศาลเกี่ยวกับท่าน

: ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ “เบเนเดตต้า” ได้ใช้ “ดิลโด้พระแม่มารีย์” จริงๆ หรือไม่?

ไม่มีหลักฐานบันทึกไว้ อันที่จริงแล้ว พวกเธอไม่ได้ใช้เครื่องมือช่วยใดๆ ในขณะมีเพศสัมพันธ์ แต่ในหนัง ผมต้องการให้ “เบเนเดตต้า” ถูกลงโทษด้วยการจับไปเผาทั้งเป็น เพราะในความเป็นจริง เธอไม่ได้ถูกลงโทษแบบนั้น ผมเลยรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ

ผมต้องการให้ตอนจบของหนังมีบรรยากาศของ “การปฏิวัติ” เพื่อให้บรรดาสามัญชนลุกฮือขึ้นต่อต้านพระสมณทูตและปลดปล่อย “เบเนเดตต้า” เป็นอิสระ

ซึ่งสำหรับปี 1625 “เบเนเดตต้า” จะถูกจับไปมัดเสาแล้วเผาทั้งเป็นได้ ก็ต่อเมื่อเธอใช้อุปกรณ์สอดใส่ในระหว่างการร่วมเพศ

: ในระหว่างการแถลงข่าวที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (หนังฉายรอบปฐมทัศน์โลกที่นั่น) คุณรู้สึกรำคาญบ้างไหม? เพราะเหมือนคุณจะค่อนข้างมีอารมณ์หงุดหงิด

ก็เพราะทุกๆ การสัมภาษณ์จะมีแต่คำถามเรื่องดิลโด้และเรื่องฉากเปลือย เรื่องเพศสัมพันธ์มันเป็นแก่นสารของชีวิตนะ ทำไมพวกเราต้องรู้สึกกลัวที่จะพูดความจริงเช่นนั้น? พวกเราเป็นสัตว์ พวกเราต้องมีลูก มิฉะนั้น เราก็จะสูญพันธุ์ แล้วทำไมเราถึงปิดซ่อนเรื่องพวกนั้นเอาไว้ล่ะ?

ทำไมพวกเราจึงกลัวว่าตัวเองจะถูกมองเป็นสัตว์? หมาของผม พวกม้า พวกเขาก็ทำเรื่องแบบนี้กันทั้งนั้น ทุกชีวิตล้วนมีพฤติกรรมอย่างนี้ เพราะพวกเราต่างเป็นสัตว์

ตอนนี้ เหมือนพวกเรากำลังพยายามปิดบังกิจกรรมดังกล่าว จนคล้ายว่าโลกนี้ไม่มีเรื่องเพศสัมพันธ์ หรือไม่มีใครไปทำอะไรกันในห้องน้ำ

: จากสถิติในปี 2020 ถึงปี 2021 กลายเป็นว่าหนังที่มีฉากเซ็กซ์ คือผลงานส่วนน้อยของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไปแล้ว

แนวโน้มนี้ดำเนินมาเป็น 20 ปีแล้ว มันเป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่นำไปสู่ความเคร่งครัดทางศีลธรรมในแบบ “พิวริตัน” แล้วคำถามที่มักเกิดขึ้นก็คือ “ทำไมคุณต้องโชว์ฉากเซ็กซ์?” ใช่ไหมล่ะ?

: เกิดอะไรขึ้นกับฉากเซ็กซ์ในหนังฮอลลีวู้ดกระแสหลัก?

คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่แค่ฮอลลีวู้ด แต่อยู่ที่วิถีชีวิตของพวกเราด้วย ผมอาศัยอยู่ที่กรุงเฮกซึ่งใกล้ชายหาด ในยุค 1970 ผู้หญิงร้อยละ 90 ต่างไปเที่ยวชายหาดโดยเปิดเปลือยร่างกายท่อนบน นั่นคือบรรทัดฐานของสังคม คุณต้องถอดบราออก

แต่ในตอนนี้ ถ้าคุณไปชายหาด คุณจะพบว่าผู้หญิงแทบทุกคนต่างใส่บรากันหมด นี่คือความเปลี่ยนแปลงในระดับมหาศาล การเปลือยกายและการมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้หายไปแค่ในหนังฮอลลีวู้ด แต่มันหายไปจากสังคมทั่วไปด้วย

เราเกิดความรู้สึกหวาดกลัวต่อการมีเพศสัมพันธ์และการนำเสนอภาพกิจกรรมดังกล่าว แม้ทุกคนจะตระหนักดีว่า ถ้าปราศจากกิจกรรมเหล่านั้น เราก็จะสูญพันธุ์ในสักวันหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ผมต้องบอกว่าการถ่ายทำ “Benedetta” ในประเทศฝรั่งเศสนั้น ไม่ได้เจอปัญหาใดๆ เลย เกี่ยวกับฉากเปลือยกาย ผมจำได้ว่าตอนอายุ 7 ขวบ ครอบครัวเรามักมาฮอลิเดย์กันที่ปารีส แล้วพ่อก็พาผมไปชมคาบาเร่ต์ ซึ่งจะมีโชว์ของกลุ่มนักแสดงหญิงเปลือยกาย อย่างน้อยที่สุด พวกเธอจะเปลือยร่างกายท่อนบนของตนเอง

จากมุมมองของคนดัตช์ นั่นคือประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจสุดๆ แต่สำหรับคนปารีส นั่นคือบรรทัดฐานปกติ มันคือการแสดงยอดนิยม มันไม่ได้ต้องหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน แล้วการแสดงเช่นนี้ก็ยังดำรงอยู่มาถึงปัจจุบัน

: จาก “Basic Instinct” และ “Flesh and Blood” จนมาถึง “Benedetta” หนังของคุณมักมีตัวละครที่เป็นเกย์หรือไบเซ็กช่วล หรือไม่ก็มีฉากร่วมรักของคนเพศเดียวกัน นั่นหมายความว่าคุณจงใจที่จะนำเสนอสายสัมพันธ์เช่นนี้บนจอภาพยนตร์ใช่หรือไม่?

ผมไม่ได้จงใจ แต่คนเหล่านี้คือประชากรที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก พฤติกรรมรักร่วมเพศคือส่วนหนึ่งในชีวิต ดังนั้น นี่จึงควรเป็นส่วนหนึ่งในศิลปะการแสดงของเราด้วยเช่นกัน ทำไมเราถึงจะต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในพฤติกรรมดังกล่าวล่ะ? ในเมื่อมันมีอยู่จริง

เรามีประชากรจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นไบเซ็กช่วล หรือเป็นคนรักเพศเดียวกัน หรือเป็นคนข้ามเพศ นั่นคือความจริง ผมจึงกลับมาหาเรื่องพวกนี้ เพราะมันคือสิ่งสามัญปกติของชีวิต

ข้อมูลจาก

https://www.indiewire.com/2021/07/benedetta-paul-verhoeven-interview-controversial-1234650603/

https://www.newyorker.com/culture/the-new-yorker-interview/paul-verhoeven-wants-to-keep-things-light-and-playful

https://variety.com/2021/film/news/paul-verhoeven-sex-religion-benedetta-basic-instinct-crusade-1235013278/