‘เยื่อพรหมจารี’ ไม่มีในโลกทัศน์ของไทยมาแต่เดิม เป็นความเชื่อแบบชายเป็นใหญ่ที่รับมาจากฝรั่ง

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

ข้อความบางส่วนในหนังสือ “คัมภีร์โยนี ความจริงที่ต้องรู้เกี่ยวกับโยนีและช่องโยนี ทุบกะลามายาคติ” ซึ่งคุณนิธินันท์ ยอแสงรัตน์ หรือ “พี่ป้อม” ของน้องๆ แปลมาจากหนังสือเรื่อง “The Vagina Bible” ของแพทย์หญิงเจ็น กันเทอร์ (Jen Gunter) ได้กล่าวถึงอะไรที่ทุกวันนี้เรียกกันในชื่อภาษาไทยว่า “เยื่อพรหมจารี” ว่าเป็นเยื่อหุ้มเซลล์ (membrane) ที่วิวัฒนาการมาจากอวัยวะ ที่เคยทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันช่องโยนี (ที่โดยทั่วไปเรียก ช่องคลอด) มาก่อน

เพราะช่องโยนีของเด็กผู้หญิงก่อนวัยหนุ่มสาว (pre-puberty) ไวต่อการระคายเคืองมาก ถ้ามีสิ่งสกปรกจำพวกเศษดินโคลนหลุดเข้าไปเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงได้

อวัยวะชิ้นนี้จึงเป็นเครื่องป้องกันสำคัญสำหรับสิ่งมีชีวิต ที่เป็นบรรพชนของมนุษย์ ซึ่งยังไม่ได้ยืนตัวตรง

ต่อมาเมื่อมนุษย์ยืนตัวตรงแล้ว ปากช่องโยนีจึงอยู่ห่างจากพื้นดินมากขึ้นความจำเป็นของเกราะป้องกันดังกล่าวก็ลดลง

โดยในแง่ของวิวัฒนาการนั้น ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีเกราะป้องกันที่แข็งแรงอีกต่อไป จนทำให้เยื่อพรมจารีในผู้หญิงแต่ละคนมีความแตกต่างกัน หรือบางคนก็ไม่มีเยื่อดังกล่าวด้วยซ้ำ เพราะมันไม่จำเป็นในทางชีววิทยาอีกแล้วนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม แนวคิดแบบปิตาธิปไตย (Patriarchy) ที่ให้ความสำคัญกับผู้ชายเป็นใหญ่ ซึ่งแพร่หลายอยู่ในสังคมต่างๆ ทั่วโลก ทำให้มีการทึกทักไปเองต่างหากว่า เยื่อพรหมจารีนั้น คงมีบทบาทในการทำให้ผู้ชายมั่นใจได้ว่า เด็กที่ตนเองกำลังเลี้ยงดูอยู่นั้น ไม่ใช่ลูกของผู้ชายคนอื่น

และเลยไปจนถึงกระทั่งมีการเสนอทฤษฎีว่า ธรรมชาติพัฒนาเยื่อพรหมจารีขึ้นมา เพื่อให้ผู้หญิงรู้สึกเจ็บเมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ดังนั้น ผู้หญิงจึงควรมีเซ็กซ์กับผู้ชายที่เป็น “คู่หมาย” เพียงคนเดียวเท่านั้น

ดังนั้น ถ้าจะเชื่อตามอย่างที่ พญ.กันเทอร์ได้เสนอเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้ว (ซึ่งถ้าจะว่ากันตามหลักวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ก็น่าเชื่อถือตามจริงๆ นั่นแหละ) เจ้าเยื่อที่ว่านี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความคิดเรื่อง “พรหมจรรย์” (virgin) ของหญิงสาวอะไรเลยสักนิด

 

ในภาษาอังกฤษนั้นเรียก “เยื่อพรหมจารี” ว่า “hymen” ซึ่งต้องตรงกันกับชื่อของเทพเจ้าองค์หนึ่งของพวกกรีก ที่ชื่อว่า “ไฮมีนาอิออส” (Hymenaios) แต่มักจะเรียกกันสั้นๆ ว่า “ไฮเมน” (Hymen) อย่างไม่อาจแน่ใจได้ว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือเปล่านะครับ

เทพปกรณ์ของชาวกรีกอ้างว่า ไฮเมนเป็นเทพเจ้าหนึ่งในเทพเจ้าที่เกี่ยวข้องอยู่กับ “ความรัก” แถมยังมีปีก ไม่ต่างอะไรไปจากตัวของเทพเจ้าแห่งความรักเองอย่าง “อีรอส” (Eros, หรือที่โรมันเรียกว่า คิวปิด [Cupid]) เพียงแค่เทพเจ้าองค์นี้ไม่ได้ถือธนูและคันศร แต่ถือคบเพลิงเอาไว้ในมือต่างหาก

ปรัมปราคติของชาวกรีกอ้างว่า บิดาของไฮเมนนั้นคือเทพแห่งดวงอาทิตย์ และศิลปะอย่าง “อพอลโล” (Apollo) ส่วนมารดาของเธอนั้นถูกระบุชื่อแตกต่างกันไปในแต่ละตำนาน แต่ก็ล้วนเป็นเทพีองค์ใดองค์หนึ่งในกลุ่มคณะเทพีแห่งศิลปวิทยาการ ที่เรียกว่า กลุ่มเทพีมิวส์ (Muses) ระหว่างเทพีแห่งประวัติศาสตร์ที่ชื่อว่า คลีโอ (Cleo), คัลลิโอปี (Calliope) เทพีผู้ครองบทกวีมหากาพย์ และอูราเนีย (Urania) เทพีแห่งดาราศาสตร์

การที่มีพ่อแม่เป็นเทพเจ้าที่เกี่ยวข้องอยู่กับศิลปวิทยาการอย่างนี้ จึงทำให้ไม่แปลกอะไรที่ชื่อของ “ไฮมีนาอิออส” เทพเจ้าขององค์นี้จะเป็นคำเดียวกันกับชื่อที่พวกกรีกใช้เรียกประเภทของบทกวี ที่ใช้เป็นพวกกรีกใช้เป็นลำนำขับขานในขบวนระหว่างที่ส่งเจ้าสาวไปยังบ้านของเจ้าบ่าว

ที่สำคัญก็คือ ชาวกรีกโบราณนับถือเทพเจ้าองค์นี้ในฐานะที่เป็น “เทพเจ้าแห่งการแต่งงาน” อีกด้วย

 

โดยรากศัพท์แล้ว คำว่า “hymen” ที่พวกกรีกใช้มีที่มาจากภาษาอินโดยูโรเปียนดั้งเดิม (Proto Indo European) ว่า “syuh men” ที่แปลว่า “การรวมเข้าด้วยกัน” หรือ “การเย็บเข้าด้วยกัน” (syuh แปลว่า เย็บ)

และนี่ก็ชวนให้น่าสงสัยยิ่งขึ้นว่า เมื่อครั้งที่ได้เริ่มมีการเรียกเจ้าเยื่อหุ้มเซลล์ชิ้นนี้ว่า “hymen” ซึ่งมีหลักฐานว่า ปรากฏอยู่ในเอกสารเก่าแก่ที่สุดระบุศักราช ค.ศ.1610 (พ.ศ.2153) นั้นเกี่ยวข้องกับชื่อของเทพเจ้าไฮเมนของพวกกรีกหรือเปล่า?

ก็ลักษณะทำนองอย่างนี้ ต่างก็สอดคล้องกับที่คุณหมอกันเทอร์ได้ระบุว่า แนวคิดแบบปิตาธิปไตยนี่แหละที่ทำให้เจ้าเยื่อชิ้นนี้ถูกธรรมชาติสร้างขึ้นเพื่อพิสูจน์พรหมจรรย์ของหญิงสาวอย่างเห็นได้ชัดเจนเลยนี่ครับ

ศาสนาคริสต์อันเป็นศาสนาหลักที่แพร่หลายที่สุดในแผ่นดินยุโรปเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 (และเลยมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้) ให้ความสำคัญกับ “ความบริสุทธิ์” ของหญิงสาวเป็นอย่างมาก

ดังจะเห็นได้ว่า ความเชื่อในคริสต์ศาสนา นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งถือเป็นนิกายเก่าแก่ที่สุดนั้น มีความเชื่อว่า มารดาของพระคริสต์อย่าง “พระแม่มารีย์” นั้น แม้จะเป็นผู้คลอดพระเยซูออกมาก็ตาม แต่พระคัมภีร์ (bible แปลตรงตัวว่า พระคัมภีร์) ภาคพันธสันสัญญาใหม่ ทั้งในพระกิตติคุณของมัทธิว (gospel of Matthew) และในลูกา (Luke) นั้น ระบุชัดเจนเอาไว้ชัดเจนว่า พระนางเป็นสาวพรหมจรรย์ จนถูกเรียกว่า “Virgin Mary” (หรือที่มีคำศัพท์เรียกในภาษาไทยว่า พระนางมารีย์พรหมจารี)

แน่นอนว่า ศาสนาคริสต์ ซึ่งย่อมหมายรวมไปถึงนิกายโรมันคาทอลิกนั้น ก็เป็นศาสนาของผู้ชาย และมีแนวคิดแบบปิตาธิปไตย ดังนั้น ความเชื่อเรื่อง “Virgin Mary” จึงแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับค่านิยมของเรื่อง “พรหมจรรย์” อย่างที่ผมคงจะไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมให้มากความนัก

(ถึงแม้ว่าจะมีกลุ่มคริสตจักร [Church] อื่นๆ ที่ไม่เชื่อในแนวคิดเรื่อง “Virgin Mary” คือ คริสตจักรต่างๆ ในนิกายออร์ทอดอกซ์ ที่นิยมอยู่ทางยุโรปตะวันออก คาบสมุทรบอลข่าน เอเชียไมเนอร์ และตะวันออกกลาง แต่ความเชื่อเรื่องนี้ของนิกายออร์ทอดอกซ์ ก็ไม่ได้ทำให้ความคลั่งไคล้ และข้อเรียกร้องถึงพรหมจารีจากผู้หญิง ของหนุ่มๆ ในดินแดนต่างๆ ที่ว่ามานั้น ในยุคโน้นน้อยลงเลยสักนิด)

ดังนั้น จึงยิ่งชวนให้ไม่น่าแปลกใจอะไรนัก ที่ผู้คนในยุโรปยุคโน้นจะทึกทักกันไปเองว่า เจ้าแผ่นเยื่อหุ้มเซลล์ในช่องโยนีของหญิงสาวนั้น เกี่ยวข้องกับพรหมจารีของผู้หญิง

 

ผมไม่แน่ใจนักว่า คนในอุษาคเนย์จะเคยรู้จักกับ “เยื่อพรหมจารี” หรือที่หลายครั้งก็เรียกว่า “เยื่อพรหมจรรย์” มาก่อนที่ฝรั่งจะมาแนะนำให้เรารู้จักกับชุดความรู้การแพทย์แผนตะวันตกหรือเปล่า?

แต่อย่างน้อยในโลกของภาษาไทยนั้น หนังสือสัพะ พะจะนะ พาสาไท ซึ่งเป็นพจนานุกรมสี่ภาษา (คำศัพท์ไทย ที่แปลออกเป็นภาษาไทย, ละติน, ฝรั่งเศส และอังกฤษ) ซึ่งแต่งขึ้นโดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศส ที่คนไทยรู้จักกันในชื่อสังฆราชปัลเลอกัวซ์ และตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2397 กับคัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทยศาสตร์สงเคราะห์ อันเป็นตำราแพทย์แผนไทย ที่แต่งขึ้นโดยพระยาพิศณุประสาทเวช เมื่อราว พ.ศ.2450 ก็ไม่ได้กล่าวถึงเจ้าแผ่นเยื่อที่ว่านี่เลยสักนิด

พี่ป้อม คนดี คนเดิม และเป็นคนเดียวกันกับที่แปลหนังสือคัมภีร์โยนี ได้ช่วยค้นเพิ่มเติมแล้วบอกบุญให้กับผมว่า ในหนังสือ “ตำราแพทยศาสตร์นิทเทส” ของหลวงนิทเทสสุขกิจ (นพ.นิทเทส พุ่มชูศรี) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2492 นั้น ได้ปรากฏคำว่า “เยื่อพรหมจรรย์” แล้ว และนี่ก็น่าจะเป็นหลักฐานเกี่ยวกับศัพท์คำที่ว่า ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกภาษาไทย เท่าที่ค้นพบในเวลานี้

“เยื่อพรหมจารี” จึงควรจะไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ในโลกทัศน์แบบไทยๆ มาแต่เดิม เพราะมาพร้อมความรู้เกี่ยวกับการแพทย์แผนตะวันตก ในยุคสมัยใหม่ ที่ก็เคยติดอยู่กรอบความคิดแบบชายเป็นใหญ่มาตั้งแต่ในยุโรปแล้วนั่นแหละครับ •