B&O Beosystem 72-22 The New Limited Edition / เครื่องเสียง : พิพัฒน์ คคะนาท

เครื่องเสียง

พิพัฒน์ คคะนาท

[email protected]

 

B&O Beosystem 72-22

The New Limited Edition

 

ช่วงนี้ที่เมืองนอกมีข่าวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ น่าสนใจออกมาเรียกเสียงฮือฮาอยู่เป็นระยะๆ และหลายๆ เสียงที่ดังมาจากหลากหลายผลิตภัณฑ์ก็ได้ยินมาถึงที่นี่ ดังที่ได้นำมาเล่าสู่กันฟังตั้งแต่ต้นปีนั่นแล้ว

จนตอนนี้กำลังจะสิ้นไตรมาสแรกของปีเต็มที ก็ยังแทบไม่ได้เอาของที่ขลุกอยู่ด้วยมาเล่าสู่กันฟังบ้างเลย เพราะข่าวคราวของของใหม่ๆ ที่ว่า มาแย่งพื้นที่ตลอด

เช่นกันกับเที่ยวนี้ที่เห็นข่าวแล้วอดไม่ได้ ต้องขอนำมาบอกกล่าวกันก่อน

ก็เป็นเรื่องของเครื่องซิสเต็มหนึ่งที่จั่วหัวเอาไว้นั่นแหละครับ เพราะนอกจากจะผลิตออกมาจำกัดจำนวนแบบ Limited Edition ที่น้อยกว่าน้อยชุดนักแล้ว ยังจำกัดจำเขี่ยพื้นที่หรือ Area ที่วางขายอีกด้วย

โดยเครื่องเสียงชุดพิเศษนี้ได้ถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในวาระครบรอบ 50 ปี ของเครื่องเล่นแผ่นเสียงหรือ Turntable รุ่น Beogram 4000 ที่ในยุคซึ่งถือกำเนิดขึ้นมานั้น นับว่าเป็นเครื่องที่ “ล้ำ” มากของวงการ ซึ่งได้ออกตลาดมาเมื่อปี ค.ศ.1972 อันเป็นที่มาของตัวเลข 72-22 ของซิสเต็มรุ่นพิเศษนี้ เพราะหมายถึงจากปี ค.ศ.1972 ถึง 2022 นั่นเอง

และเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่อยู่ในชุด Beosystem 72-22 ก็ได้ผลิตแยกออกมาจำหน่ายเป็นรุ่นพิเศษเฉพาะเช่นเดียวกัน ด้วยชื่อรุ่น Beogram 4000C ซึ่งผลิตออกมาเพียง 95 เครื่องเท่านั้น ในขณะที่ Beosystem 72-22 ผลิตออกมาเพียงแค่ 30 ชุด และจะวางจำหน่ายเฉพาะ Bang & Olufsen Store ในทวีปอเมริกาเหนือเท่านั้น

โดยกำหนดสนนราคาเอาไว้ที่ซิสเต็มละ US$ 45,000 หรือ 60,000 ดอลลาร์แคนาดา

 

กล่าวสำหรับ B&O หรือ Bang & Olufsen ค่ายเครื่องเสียงแบรนด์หรูของเดนมาร์ก ที่ผลิตเครื่องระดับ Hi-End เป็นรายแรกๆ อันมีเอกลักษณ์การออกแบบหน้าตาผลิตภัณฑ์แตกต่างไปจากเพื่อนพ้องร่วมวงการนั้น อีกสองสามปีข้างหน้าก็มีอายุครบหนึ่งศตวรรษแล้วล่ะครับ เพราะก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1925 โน่น

ก่อร่างสร้างแบรนด์ขึ้นมาโดยเพื่อนพ้องสองสหาย คือ Peter Bang กับ Svend Olufsen ด้วยผลิตภัณฑ์แรกของค่ายที่เป็นเครื่องรับวิทยุซึ่งใช้พลังงานจากกระแสไฟฟ้าสลับ (คือไฟฟ้าที่ใช้กันตามบ้าน หรือไฟ AC : Alternating Current นั่นแหละครับ) ขณะที่เวลานั้นเครื่องรับวิทยุส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพาอาศัยการทำงานจากพลังแบตเตอรี่

โดยปีเตอร์นั้นสนใจเรื่องเทคโนโลยีวิทยุมาแต่เล็กแต่น้อย จบมาทางด้านวิศวกรรม หลังเรียนจบได้ใช้เวลาทำงานหาความรู้เพิ่มพูนทักษะที่โรงงานผลิตเครื่องรับวิทยุในสหรัฐอเมริกาอยู่ระยะหนึ่ง

เมื่อกลับมาเดนมาร์กก็ชวนสเวนด์ที่มีความช่ำชองด้านธุรกิจและการตลาด สร้างห้องทดลองขึ้นที่ห้องใต้หลังคาบ้าน แล้วค่อยก่อตั้งบริษัทและดำเนินกิจการในเวลาต่อมา จากนั้นก็เริ่มประสบความสำเร็จตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 30s เป็นต้นมา

ครับ, ก็นำมาเล่าสู่กันฟังถึงที่มาที่ไปของแบรนด์พอเป็นกระสาย ซึ่งส่วนใหญ่บรรดาพวกที่เริ่มต้นเข้ามาบนเส้นทางสายนี้ด้วยใจรักทางฝั่งตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นแถบยุโรปหรืออเมริกา มักจะเริ่มต้นจากห้องใต้หลังคาบ้าน ไม่ก็ชั้นใต้ดิน หรือห้องเก็บของกันเป็นส่วนใหญ่

 

กลับมายังเรื่องที่จ่าหัวกันต่อครับ Beosystem 72-22 นั้นเป็นผลพวงของโครงการ Recreated Classics Initiative ที่นำเครื่องสุดคลาสสิคในอดีตมารังสรรค์ขึ้นใหม่ด้วยเทคโนโลยีของปัจจุบัน ซึ่งเครื่องชิ้นแรกของโครงการนี้ก็คือ Beogram 4000C นั่นเอง โดยในยุคสมัยของมันที่ข้างต้นได้บอกเอาไว้ว่า “ล้ำ” มากนั้น ก็เนื่องเพราะเครื่องเล่นแผ่นเสียงยุคนั้นนอกจากโทนอาร์มจะมีรูปเป็นตัว S หรือไม่ก็เป็นแบบตัว J แล้ว การทำงานก็จะถูกตรึงเอาไว้อยู่กับที่ แล้วเคลื่อนเข้าหาแผ่นจากขอบไปจนถึงร่องเสียงสุดท้ายที่เกือบกลางแผ่นด้วยการนำของปลายเข็มที่เคลื่อนไปตามร่องเสียง

ในขณะที่โทนอาร์มของ Beogram 4000 นั้นเป็นแบบก้านตรงตั้งแต่โคนจรดปลาย ทำงานในรูปแบบที่ปัจจุบันเรียกกันว่า Linear Tracking Arm คือเลื่อนเป็นแนวเส้นตรงไปทั้งก้านโทนอาร์ม โดยเลื่อนจากขอบนอกทางด้านขวาของแท่นเข้าไปยังด้านใน แต่ในเวลานั้น B&O เรียกการขับเคลื่อนของโทนอาร์มแบบนี้ว่า Employing Tangential Tracking ซึ่งทำงานร่วมกับระบบ Photoelectric Sensing ในการตรวจจับรอบหมุนที่ 45 รอบ/นาที (45rpm) กับแผ่นขนาด 7 นิ้ว และที่ 33-1/3rpm กับแผ่นขนาด 10 นิ้ว และ 12 นิ้ว ใช้ระบบแรงดันลมในการยก/ปล่อยก้านโทนอาร์ม แยกฐานรองแท่นหมุนและใช้ระบบป้องกันการสั่นสะเทือนที่เป็นสิทธิบัตรเฉพาะแบบ Danceproof หรือเรียกอีกชื่อว่า Pendulum ซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำงานป้องกันแรงสั่นสะเทือนจากภายนอกที่ยอดเยี่ยมมาก โครงสร้างของแท่นมีให้เลือกสองแบบจากไม้สัก (Teak) กับ Rosewood (ไม้พะยูงหรือไม้ชิงชัน)

กล่าวสำหรับ Beogram 4000C ซึ่งเป็นผลงานการออกแบบของ Jacob Jensen มีโครงสร้างที่ขึ้นรูปประกอบไปด้วยไม้โอ๊ก โลหะสแตนเลสและอะลูมิเนียม โทนอาร์มแบบ Tangential Tracking ติดตั้งหัวเข็มแบบ Moving Micro Cross ซึ่งมีปลายเข็มแบบ Nude Contact Line Diamond กำหนดแรงกดปลายเข็มหรือ Tracking Force ที่ 1.3 กรัม

ใช้ระบบขับเคลื่อนรอบหมุนด้วยสายพาน หรือ Belt Drive ควบคุมการทำงานแบบอัตโนมัติทั้งการเลือกขนาดแผ่น ความเร็วรอบหมุน (33-1/3, 45rpm) และการทำงานของโทนอาร์มที่เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ ใช้มอเตอร์ขับหมุนแบบ Synchronous

 

นอกจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงแล้ว ในซิสเต็มยังมีลำโพงแอ๊กทีฟ ทำงานแบบไร้สาย Beolab 18 ซึ่งภายในแต่ละตู้ประกอบไปด้วยชุดตัวขับเสียงสามตัว คือ ทวีตเตอร์ขนาด 3/4 นิ้ว, หนึ่งตัว ใช้เทคโนโลยี Acoustic Lens ที่ช่วยในการกระจายเสียงได้เป็นวงกว้างถึง 180 องศา และวูฟเฟอร์ขนาด 4 นิ้ว, สองตัว ซึ่งชุดตัวขับเสียงดังกล่าวมีแอมปลิไฟเออร์ขับทวีตเตอร์และชุดวูฟเฟอร์แยกจากกัน เป็นแอมป์ทำงานในแบบ Class-D กำลังขับเครื่องละ 160W ให้ระดับความดังเสียงสูงสุด 107dB/SPL@1m เฉพาะการทำงานของเบสวัดได้ 83dB/SPL ลำโพงคู่นี้ยังมีคุณสมบัติเด่นทางด้าน Adaptive Bass Linearization, Acoustic Placement Settings พร้อมระบบป้องกันความร้อนในตัว

และมีอุปกรณ์สำคัญอีกชิ้นในซิสเต็มนี้ คือ ชุดควบคุมการทำงานของระบบรุ่น Beoremote Halo ที่ช่วยให้เข้าถึงความสุนทรีย์ของเสียงดนตรีจากระบบเพลงของ Bang & Olufsen ได้อย่างง่ายดาย ด้วยการสัมผัสเพียงปุ่มเดียวเท่านั้นเอง

ทั้งซิสเต็มนอกจากจะมีเครื่องที่กล่าวไปสามประเภท, สี่ชิ้นแล้ว ยังมาพร้อมตู้ดังที่เห็นในภาพ ซึ่งภายในเป็นชั้นวางสำหรับเก็บแผ่นเสียง โดยมีแผ่นไวนีลอัลบั้มพิเศษคัดสรรมาให้เป็นของขวัญสำหรับผู้ซื้อซิสเต็มนี้สี่อัลบั้มด้วยกัน

โดยทั้งหมดเป็นอัลบั้มที่ออกในปี ค.ศ.1972 ประกอบไปด้วยชุด The Rise and Fall of Ziggy Stardust and the Spiders from Mars ของ David Bowie, อัลบั้มของ Paul Simon คราวเปิดตัวหนแรกครั้งยังเป็นศิลปินเดี่ยว, อัลบั้มคู่ชุด Each a Peach ของวง The Allman Brothers Band และชุดสุดท้ายคืออัลบั้ม No Secrets ของศิลปินสาว Carly Simon

ครับ, ทั้งหลายทั้งปวงของซิสเต็มที่จั่วหัวไว้มีดังที่ว่า และจนวันนี้ก็ยังไม่ได้กำหนดวันวางจำหน่ายออกมาให้ทราบกันแต่อย่างใด •