หน้าผา / เรื่องสั้น : เออเนสซองส์

เรื่องสั้น

เออเนสซองส์

 

หน้าผา

 

-1-

รู้สึกได้ถึงเสียงระฆังกังวานก้องกระทบขอบจักรวาล หมู่หมาครวญครางเป็นอีกหนึ่งก้อนคลื่นเสียงแทรกซ้อนกันไปเรื่อยๆ ราวกับว่าถ้าระฆังไม่หยุดตี พวกมันก็ไม่หยุดหอน

ความมืดบดบังต้นกำเนิดเสียงทั้งมวล และยังช่วยอำพรางนักแสวงบุญทั้งสี่ ภายใต้ผืนผ้าใหญ่

สีเทาคลุมเครือ คลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า พวกเขารีบเดินออกจากปฏิบัติสถานอันเคร่งขรึมศักดิ์สิทธิ์โดยไม่เกรงกลัวต่อโทษทัณฑ์ที่จะตามมาภายหลังดุจเงาไม่มีหัว

ทุกกายหยาบคล้ำดวงตาดำเปลี่ยนโหมดเป็นเหลืองสว่าง ส่องทางแทนไฟฉายหลังจากพ้นประตูสำนักแล้ว

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาแสวงหาอะไรบางอย่างซึ่งไม่มีในที่ที่เขาจากมา หรือไม่เห็นว่ามี ชีวิตแต่ละวันเหมือนก้อนหินทับหญ้า เก็บกด ถมทับ กิเลสต่างๆ เอาไว้ไม่ให้เผยอ ทั้งโลภ โกรธ หลง สุดจะทนจึงดั้นด้นหาที่ใหม่ไม่ต่างจากหมาขี้เรื้อน

แต่กฎย่อมเป็นกฎ กฎข้อแรกถูกละเมิดหลังปรากฏรอยเท้านอกประตู และการเดินทางไปสู่หน้าผาตะวันคือการทำลายกฎข้อสอง

ไม่ได้ไปกันลำพังมีบางสิ่งติดตัวหนึ่งในสี่ไปด้วย ถูกบรรจุในวัตถุหน้าตาคล้ายขวดเหล้า แต่ข้างในคือน้ำสมุนไพรเก้าชนิด ขาดอีกหนึ่งซึ่งคาดว่ามีที่หน้าผา อีกไม่นานพวกเขาจะพบหนทางสู่อิสรภาพอย่างแท้จริง

กิโลเมตรที่ 21 พวกเขาเดินมาถึงจุดหมาย ดวงตะวันยังไม่ขึ้น ป่าปรงนับพันนับหมื่นต้น พืชดึกดำบรรพ์สมัยก่อนไดโนเสาร์สูญพันธุ์จนไดโนเสาร์กลับมาอีก หลายก้อนหินมหึมาพาไปสู่หน้าผาเรียงตัวเป็นรูปครึ่งวงกลมลดหลั่น แสงไฟในดวงตาส่องไปเบื้องหน้า ทิวเขางามนอนเหยียดตรงข้าม ไม่นานดวงตะวันจะโผล่พ้น

พวกเขานั่งลงบนก้อนหินใหญ่คนละก้อน ดื่มด่ำกลิ่นป่า สายลม ความสงบเย็น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่นักแสวงบุญคนที่หนึ่งต้องการ ลุกพรวดขึ้นใช้ขวานกำแน่นในมือซ้าย ตัดปรงโดยรอบเหี้ยนเตียนเหลือแต่ตอ

เขาเป็นเด็กกำพร้าถูกนำมาทิ้งไว้หน้าประตูสำนักตั้งแต่ยังแบเบาะ ใครเห็นก็ต้องสงสาร ทารกน้อยผิวพรรณสะอาดสะอ้าน ตากลมโต ไม่มีน้ำตาหรือร้องไห้โยเยสักแอะ หัวหน้าแม่บ้านประจำสำนักเมตตารับเลี้ยงดู

อยู่ในกรอบมาสามสิบปี ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เข้มแข็งอดทน มุ่งมั่นฝึกฝนจนหลายคนคาดหวังว่าให้เป็นเจ้าสถานธรรมคนต่อไป ทั้งที่เขาไม่ปรารถนาเช่นนั้น เชื่อในวิถีมาตลอดว่าสุดท้ายจะค้นพบอิสรภาพทางใจได้ แต่ยิ่งนานวันยิ่งคล้ายโซ่ตรวนมัดไว้ไม่ให้ไปไหน เมื่อสบโอกาสจึงใช้อำนาจมืดในมืออย่างเมามันสะใจ รู้ว่าต้นไม้มีชีวิตแต่คงไร้ความรู้สึก ความเจ็บปวดเช่นเดียวกับเขา พวกมันไม่ร้องแต่แสดงออกด้วยการขยับรากข้างใต้ จนหินที่ทุกคนนั่งอยู่เขยื้อน แต่นักแสวงบุญผู้สวมบทฆาตกรกลับไม่สน เขาเหลือปรงสูงใหญ่เพียงต้นเดียวในบริเวณนั้นไว้พิงกาย นั่งนับตอไม้อย่างพึงพอใจ อย่างน้อยเขาก็มีค่าพอที่กำหนดชีวิตอื่น ไม่ใช่ให้คนอื่นมากำหนดชีวิตเขา

นักแสวงบุญคนที่สองคือคนผสมน้ำสมุนไพร เขาเอาใบปรงคล้ายใบปาล์มก้านใหญ่เส้นใบหนาดึงมาเพียงสองใบจากนับไม่ถ้วนที่โดนโค่นทิ้ง สับด้วยมีดเล็กแหลมคมจนละเอียดยิบ บีบเค้นน้ำจากพืชใบเขียวจัดลงไปในขวด เมื่อผสมกับสีน้ำตาลที่มีกลายเป็นแดงช้ำกล้ำกลืน น้ำสมุนไพรไร้ชื่อ สมมุติเอาว่า “น้ำสมุนไพรสู่อิสรภาพ”

ดื่มกันคนละฝาด้วยความเชื่อมั่นและชื่นมื่น พิธีกรรมนี้เกิดจากแรงศรัทธาล้วนๆ เพราะไม่เหลืออะไรในโลกนี้ให้ศรัทธา ยามผู้คนตะเกียกตะกายพร้อมตกหน้าผาแห่งชีวิตทุกเมื่อ

จากนั้นทั้งสามก็มีอาการเปลี่ยนไปทีละนิด พร้อมกับดวงตะวันสาดแสงเต็มฟ้า นักบุญคนแรกยังคงสงบเช่นเดิมพิงปรงหลบแดดเปรี้ยงอย่างสบายใจ รอยยิ้มและแววตาล่องลอยไปไหนต่อไหน แต่นักบุญคนที่สามกลับหัวเราะลั่นราวคนบ้า เขาคว้าเอาขวานของนักบุญคนแรก ฟันฉับลงที่เท้าขวาไร้นิ้วก้อยมาแต่เกิด กำเนิดปมด้อยให้อับอายสายตาผู้คนที่มีนิ้วเท้าเพียงสี่ บัดนี้ไม่ต้องอายแล้ว เพราะทั้งสี่นั้นกระเด็นกระดอนหลุดไปทันที เลือดไหลเร็วรี่ เจิ่งนองไปทั่วราวก๊อกน้ำแตก ตะโกนลั่นไม่หยุดปาก

“ข้าบรรลุแล้ว ข้าบรรลุแล้ว ข้าทิ้งกายใจได้แล้ว เพราะมันไม่ใช่ของข้ามาตั้งแต่ต้น ไม่มีอะไรสักอย่างที่เป็นของข้า” แล้วก็กระโดดลงหน้าผา สร้างความตื่นตระหนกแก่เพื่อนๆ ฉับพลัน

ยามตะวันแรงกล้าที่สุด ปรงที่เหลือแต่ตอแตกต้นเล็กขึ้นมาใหม่บนตอเดิม แล้วเติบโตอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่นาที ความโล่งโจ้งหายไป กลับเป็นป่าปรงสูงราวเปรตยืนหวีดหวิวค้ำฟ้า ใบไม้แต่ละต้นซ้อนกันจนทั้งป่าทึบ บดบังแสงสว่างเหลือเพียงความมืดมิดน่าหวั่นหวาด นักบุญคนที่หนึ่งจากนั่งสงบเมื่อครู่ เกิดอาการฉุนจัด เหมือนโดนแกล้ง กระชากชุดคลุมโยนทิ้ง คว้าขวานในมือฟันฉับๆ ต้นปรงที่ขึ้นมาใหม่อย่างเอาเป็นเอาตาย ภาพชายคลุ้มคลั่ง หน้าตัวแดงก่ำ ความร้อนระอุภายนอกยังไม่เท่าระเบิดความโกรธในใจ ในเมื่อเขาตัดมันแล้ว มันก็ควรตายสิ ไม่ควรรอดมาตั้งแต่เกิดก็เหมือนเขานั่นแหละมีชีวิตถึงทุกวันนี้ไปทำไมก็ไม่รู้ คราวนี้ใช้ทั้งแขนซ้ายแขนขวาโค่นต้นไม้ลงทีละต้นๆ ไม่สนใจใคร โดยเฉพาะต้นที่ส่งสัญญาณเตือน ด้วยการปล่อยยางเหนียวๆ ออกมาทั้งป่าราวห่าฝน ดวงตาโดนยางไม้กัดทะลุจนมืดบอด เขาก็ยังไม่เลิก ต้องการเพียงชัยชนะ ในใจมืดบอดยิ่งกว่าดวงตา ไม่คิดถึงสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากตัวเอง ไม่มีความเมตตา และหวังจะเป็นผู้กุมชัยชนะฝ่ายเดียว บัดนี้เขาเหวี่ยงขวานตุปัดตุเป๋ไปมาราวคนเมา ถูกต้นไม้บ้างไม่ถูกบ้าง จนสุดท้ายล้มคว่ำหน้าลงกับพื้นสิ้นเรี่ยวแรง ลมหายใจเฮือกสุดท้าย ถูกพรากโดยหัวหน้าไร สิ่งมีชีวิตกินเศษซาก สั่งให้กองทัพไรเรือนล้านรุมร่างจนหายวับอย่างรวดเร็ว แม้โครงกระดูกก็ไม่เหลือ ความโกรธฆ่าเขา ความอยากเอาชนะฆ่าเขา จิตอาฆาตยังวนเวียนอยู่เป็นพลังงานลบล่องลอยไม่ได้ไปผุดไปเกิด ถูกพันธนาการไว้ในป่า ไม่ต่างจากที่เขาถูกพันธนาการในสำนัก ในอดีตในใจตนเอง แม้ตายยังคงไม่ปลง

ชายผู้ผสมสมุนไพรเห็นท่าไม่ดี ไม่คิดว่าสิ่งที่เอาให้ทุกคนดื่มจะมีผลแบบนี้ หรืออาจไม่เกี่ยวก็ได้ แต่เขาก็ประสาทหลอนเกินกว่าจะควบคุมอาการไว้ได้ ทำท่าจะทุบขวดทิ้ง ขวดแก้วดุจเลนส์รวมแสง สมุนไพรดุจน้ำมัน ระเบิดเพลิงคามือ แผดเผาไหม้ไปทั้งตัวคล้ายปรงเกรียมหงิกงอ เหลือเพียงเมล็ดเล็ก คลุมด้วยขนเทาปุกปุย ลอยตามแรงลมไปอย่างอิสระ ไกลแค่ไหนไม่มีใครรู้ กระทั่งตัวเขาเอง

 

-2-

ผมรู้ทุกอย่างอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ หน้าผาตะวันคือหน้าผาแห่งความตาย น้อยคนนักมาแล้วมีโอกาสรอดกลับไป แต่ใครล่ะ จะยอมให้คนนอกสายเลือดมาชุบมือเปิบเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป ที่ยอมอดทนทำทุกอย่างก็เพื่อรอวันนี้ อิสรภาพที่ผมอยากได้คือการไม่ถูกพ่อบังเกิดเกล้าเห็นลูกตัวเองอยู่นอกสายตา ถึงแม้ผมจะต้องปฏิบัติตามกฎของสำนักไปจนตาย ถึงแม้กลับไปจะต้องรับโทษทัณฑ์หนักหนาสาหัสแค่ไหนผมก็ยอม ไม่มีใครหนีกฎแห่งกรรมพ้น

เสียงระฆังดังก้องสั่นสะเทือนทั้งป่า เสียงที่ผมคุ้นเคยดี เรียกให้กลับเข้าไป พร้อมเสียงกระซิบในใจว่า

“กลับมารู้สึกตัว”

“กลับมารู้สึกตัว”

“กลับมารู้สึกตัว” •