ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 มีนาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
บลูเฮาส์ใต้ร่มธง ยุน ซอก ยอล
สัญญาณร้อนบนคาบสมุทรเกาหลี
ยุน ซอก ยอล ผู้สมัครจากพรรคพลังประชาชน (พีพีพี) วัย 61 สร้างประวัติศาสตร์ให้กับการเมืองเกาหลีใต้ จากการเฉือนเอาชนะอี มยอง แจ คู่แข่งสำคัญจากพรรครัฐบาล ไปอย่างเฉียดฉิวที่สุดเท่าที่เคยมีมาด้วยคะแนนเสียงทิ้งกันไม่ถึง 1%
ขึ้นแท่นรอที่จะเข้าไปนั่งกุมบังเหียนบัญชาการใน “ชองวาแด” ทำเนียบสีน้ำเงิน (บลูเฮาส์) อันเป็นสถานที่ทำงานและทำเนียบที่พักทางการของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ในฐานะผู้นำบริหารประเทศคนใหม่ แทนที่ประธานาธิบดีมุน แช อิน ซึ่งกำลังจะหมดวาระลงอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคมที่จะถึง
ชัยชนะที่คว้ามาครองได้อย่างฉิวเฉียดของยุน ซอก ยอล อดีตอัยการสูงสุดผู้คร่ำหวอดอยู่แวดวงกระบวนการยุติธรรมมาอย่างโชกโชน แต่เป็นนักการเมืองหน้าใหม่ที่ถูกปรามาสว่ายังอ่อนหัด ไม่เพียงส่อนัยให้เห็นถึงความแตกแยกในสังคมเกาหลีที่มีอยู่อย่างมากเท่านั้น
แต่ยังกำลังเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ว่า คาบสมุทรเกาหลีอาจจะยิ่งร้อนระอุไปมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ จากปัญหาพิพาทขัดแย้งที่สะสมมานานกับคู่ปรับตลอดกาลอย่างเกาหลีเหนือ
ตัวแปรชี้วัดสัญญาณความร้อนระอุที่ว่า สะท้อนออกมาจากแนวนโยบายที่ใช้ในการรณรงค์หาเสียงของยุน ซอก ยอล โดยเฉพาะที่มีต่อเกาหลีเหนือ ซึ่งเขาประกาศกร้าวว่าจะพยายามฟื้นการเจรจากับเกาหลีเหนืออีกครั้ง และจะจัดทำแผนโรดแม็ปที่เป็นประโยชน์สำหรับเกาหลีเหนือ แต่จะมีขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่ว่าอีกฝ่ายจะต้องทำอะไรที่เป็นรูปธรรมในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของตนเอง
ยุน ซอก ยอล ยังเรียกร้องให้ส่งเสริมการป้องปรามทางทหาร ที่รวมถึงการกระชับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นกับสหรัฐอเมริกา พันธมิตรด้านความมั่นคงในภูมิภาค ทั้งยังเน้นย้ำว่าการโจมตีเชิงป้องกันของเกาหลีใต้ยังอาจเป็นวิธีเดียวที่จะตอบโต้ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก เทคโนโลยีอาวุธใหม่ของเกาหลีเหนือได้หากอีกฝ่ายดูมีท่าทีพร้อมจะลงมือโจมตีเกาหลีใต้
ในส่วนนโยบายต่างประเทศ ยุน ซอก ยอล ประกาศชัดว่าต้องการจะซื้อระบบป้องกันขีปนาวุธ THAAD ของสหรัฐอเมริกาเข้ามาเพิ่มเติม เพื่อรับมือภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ
แม้จะเสี่ยงทำให้จีนไม่พอใจและอาจเผชิญการตอบโต้ทางเศรษฐกิจจากจีนได้ก็ตาม
ทิศทางนโยบายสายเหยี่ยวในเรื่องนี้ของยุน ซอก ยอล แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับมุน แช อิน ผู้นำสายพิราบที่มุ่งดำเนินนโยบายการมีส่วนร่วมกับเกาหลีเหนือมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมาในระหว่างดำรงตำแหน่ง ซึ่งถือว่าประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่ง
เพราะอย่างน้อยการดำเนินนโยบายดังกล่าว สามารถทำให้เกิดการพบปะสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างประธานาธิบดีมุน แช อิน กับผู้นำคิม จอง อึน ของเกาหลีเหนือ ในเดือนเมษายนปี 2018 และยังปูทางไปสู่การพบปะสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างผู้นำเกาหลีเหนือและสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็คือ คิม จอง อึน และโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันที่ประเทศสิงคโปร์
โดยภาพประวัติศาสตร์การพบปะกันระหว่างผู้นำเกาหลีเหนือกับสหรัฐอเมริกา จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีมุน แช อิน ผู้นำเกาหลีใต้ ผู้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง!
และเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่โลกต้องจารึกไว้อีกครั้งกับการย่างก้าวเข้าไปเหยียบดินแดนเกาหลีเหนือของผู้นำสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พบปะสุดยอดเป็นครั้งที่ 3 กับผู้นำคิม จอง อึน บริเวณเขตปลอดทหารที่ขั้นกลางระหว่างสองเกาหลีในปี 2019 ในการเจรจาเพื่อหาทางคลี่คลายข้อพิพาทขัดแย้งบนคาบสมุทรเกาหลี โดยเฉพาะการปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ
ก่อนที่การเจรจาเสริมสร้างสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลีต้องชะงักงันไป หลังจากความพยายามเกลี้ยกล่อมให้สหรัฐอเมริกาผ่อนคลายการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือไม่ประสบผล
การก้าวขึ้นมากุมทำเนียบบลูเฮาส์ของยุน ซอก ยอล จึงอาจจะเป็นการตอกตะปูปิดตายการดำเนินนโยบายพัวพันมีส่วนร่วมกับเกาหลีเหนือของเกาหลีใต้ลงได้ ที่อาจจะยิ่งทำให้สถานการณ์เผชิญหน้าระหว่างสองเกาหลี ตลอดจนชาติพันธมิตรของแต่ละฝ่ายในภูมิภาคนี้ยิ่งตึงเครียดรุนแรงหนักขึ้นไปอีก
แนวโน้มความเป็นไปได้ยิ่งมีมากขึ้นจากท่าทีของทางฝั่งเปียงยาง ที่เพียงแค่เริ่มต้นปีนี้มาไม่ทันไร เราก็ได้เห็นเกาหลีเหนือยิงทดสอบอาวุธเป็นว่าเล่นไปแล้วร่วมสิบครั้ง ที่รวมถึงการทดสอบขีปนาวุธนำวิถีข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) และขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง (ไฮเปอร์โซนิก มิสไซล์)
ในความเห็นของนักวิเคราะห์ท่านหนึ่งมองว่าภายใต้รัฐบาลยุน ซอก ยอล เราอาจจะได้เห็นการรีเซ็ตความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างสองเกาหลี โดยแทนที่จะมีการเจรจาและการมีส่วนร่วมปฏิสัมพันธ์กัน แต่ยุน ซอก ยอล จะดำเนินท่าทีแข็งกร้าว และถอยห่างออกจากนโยบายการมุ่งให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์แบบมีส่วนร่วมกับเกาหลีเหนือมาเป็นอันดับแรกของมุน แช อิน
ขณะที่ศาสตราจารย์พัค วอน กอน นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา กล่าวว่า การแสดงความรักเพียงฝ่ายเดียวของมุน แช อิน กำลังจะสิ้นสุดลง โดยยุน ซอก ยอล จะยึดเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือเป็นวาระสำคัญ ตรงกันข้ามกับการดำเนินแนวทางทางการทูตอย่างค่อยเป็นค่อยไปของมุน แช อิน
ซึ่งศาสตราจารย์พัคฟันธงว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เกาหลีเหนือจะหันหลังให้กับประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนใหม่ผู้นี้