สิ่งแวดล้อม

ทวีศักดิ์ บุตรตัน

[email protected]

 

โซลาร์เซลล์หลังคาบ้าน

 

การสู้รบระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ผ่านเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ที่บอกว่าสงครามการฆ่าล้างอย่างหฤโหดจะสิ้นสุดลง มีแต่เพิ่มระดับความรุนแรง

ชาวยูเครนนับล้านทั้งสูงวัย หญิงท้องแก่หอบลูกเล็กเด็กแดงต้องอพยพหนีตายอลหม่าน

วัยรุ่นหนุ่มสาวชาวยูเครนเพิ่งจบชั้นมัธยมต้องหันมาจับปืนสู้กับทหารรัสเซียที่ผ่านการศึกมาโชกโชน

อ่านข่าวแล้วนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าโลกเดินเข้าสู่ยุคดิจิตอล แต่ยุโรปกลับถอยหลังซ้ำรอยประวัติศาสตร์

ผู้คนจำนวนไม่น้อยเกิดอาการวิตกจริต ถ้าหากสงครามยังดำเนินต่อไปอย่างรุนแรงยืดเยื้อ โอกาสบานปลายกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์หรือเปล่า

บางคนจับปฏิกิริยาของ “วลาดิมีร์ ปูติน” ผู้นำหมีขาวที่มีต่อประเทศยูเครนแข็งกร้าวตลอด ถึงขนาดออกคำสั่งให้กองกำลังป้องปรามนิวเคลียร์เตรียมพร้อมขั้นสูงสุด

เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือหรือเพื่อโจมตีด้วยหัวรบนิวเคลียร์ ไม่มีใครเดาใจ “ปูติน” ได้

ศึกชิงแผ่นดินใจกลางยุโรป ไม่ว่าจะจบลงแบบไหนก็ตาม ที่แน่ๆ นาทีนี้ “ปูติน” เพาะเชื้อแห่งความเกลียดชังในเผ่าพันธุ์ของชาวยูเครนไปเรียบร้อยแล้ว ความเกลียดชังนี้จะบานเบ่งแค่ไหนนั้นต้องติดตามดูกันต่อ

สงครามครั้งนี้ ส่งผลกระทบกับทั่วโลก ราคาน้ำมัน ก๊าซพุ่งกระฉูด ระบบการเงินการธนาคารปั่นป่วน สินค้าเกษตรปรับขึ้นราคา อุตสาหกรรมการบิน การท่องเที่ยวชะงักงัน

เท่ากับเหยียบซ้ำโลกที่บอบช้ำจากวิกฤตโควิดอยู่แล้วให้ทรุดหนักลงไปอีก

 

ประเทศไทยเจอแรงกระแทกจากทั้งโควิดล้มครืนมา 2 ปียังโงหัวไม่ขึ้น อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ทำรายได้ให้ประเทศเป็นอันดับต้นๆ ก็พังพาบ เศรษฐกิจในประเทศยังไม่เห็นแววฟื้น มาคราวนี้เจอสงครามยูเครน-รัสเซียกระหน่ำอีกระลอก

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังตั้งรับกันอย่างทื่อๆ ทึ่มๆ

เช่น พ่อค้าปรับขึ้นราคาสินค้า ก็จัดโชว์คาราวานรถเร่ขายสินค้าถูกแบบเทียม

หรือร่อนไอเดียแนะให้ทหารปลูกผักชีแก้ปัญหาผักชีแพง

แก้ปัญหากันอย่างนี้ อนาคตคนไทยมีหวังเจอภาวะยากจนทั้งแผ่นดิน

 

เมื่อสัปดาห์ก่อน คุณธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. ยอมรับว่า สงครามยูเครน-รัสเซีย ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ด้านพลังงานโลกซึ่งมีผลกระทบกับไทยในหลายมิติ ต้องปรับแผนรับมือและแก้ปัญหาเป็นระยะๆ ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

หนึ่งในมติของ กพช.คือแนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา มีอยู่ 2 แนวทาง

1. โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา สำหรับภาคประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัย (โซลาร์ภาคประชาชน) ให้รับซื้อต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป โดยกำหนดเป้าหมายการรับซื้อปีละ 10 เมกะวัตต์ (MWp) ราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินที่จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ 2.20 บาทต่อหน่วย และระยะเวลารับซื้อ 10 ปี

2. โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา สำหรับกลุ่มโรงเรียน สถานศึกษา โรงพยาบาล และสูบน้ำเพื่อการเกษตร ปี 2565 กำหนดเป้าหมายการรับซื้อ 10 เมกะวัตต์ (MWp) ราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินที่จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ 1.00 บาทต่อหน่วย และระยะเวลารับซื้อ 10 ปี

คุณธนกรบอกว่า นายกฯ ขอให้เน้นการประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้มีผู้เข้าร่วมโครงการตามเป้าหมายให้มากยิ่งขึ้น ทั้งกลุ่มโรงเรียน สถานศึกษา โรงพยาบาล การสูบน้ำเพื่อการเกษตร บ้านเรือนประชาชน เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการลดโลกร้อน

 

ถ้อยแถลงในมติ กพช.คราวนี้ กระตุ้นให้ผมเกิดความสนใจในโครงการติดแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน

ผมคลิกหาข้อมูลจากเว็บไซต์การไฟฟ้านครหลวง (mea.or.th) ได้ข้อมูลค่อนข้างเป็นราชการเอามากๆ

ในหน้าเพจว่าพลังงานหมุนเวียน มีชื่อโครงการ Solar ประชาชน ผมเปิดหน้าแรกเข้าไปอ่านก็ชวนให้ปวดหัว เพราะเป็นไฟล์ว่าด้วยระเบียบประกาศที่ชาวบ้านอ่านไปงงไป

ในรายละเอียดโครงการบอกว่าใครจะยื่นขอติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาให้ยื่นเอกสารประกอบการพิจารณาติดตั้งแผงโซลาร์ จำนวน 23 ชิ้น บางชิ้นเป็นเอกสารที่ใช้ศัพท์เทคนิคเฉพาะที่ชาวบ้านอย่างเราๆ ยากที่จะเข้าใจ

เมื่ออ่านไม่เข้าใจก็เลยต้องโทร.ไปหาคอลเซ็นเตอร์ของ กฟน. แม้ได้คำตอบกระจ่างขึ้นมาบ้าง แต่รายละเอียดจะขอเชื่อมต่อระบบกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าของ กฟน.ต้องทำอย่างไรทางคอลเซ็นเตอร์บอกให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ในวันราชการอีกที

ส่วนประกาศเชิญชวนประชาชนติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาผลิตไฟฟ้าขายให้กับการไฟฟ้านครหลวง ที่มีในเว็บของ กฟน. ก็เป็นประกาศเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ของปีล่าสุดคือปีนี้ ที่นายกฯ เรียกร้องให้ทำประชาสัมพันธ์ดึงคนเข้ามาร่วมมากๆ นั้น ยังไม่มีประกาศออกมา

สรุปได้ว่าโครงการโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านของประเทศนี้เพื่อประหยัดพลังงานลดโลกร้อน ใช่ว่าจะติดตั้งกันง่ายๆ ซะเมื่อไหร่ •