คนของโลก : ลี บู จิน ทายาทลำดับสองแห่งตระกูลซัมซุง

ที่มาภาพ :Reuters

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลแขวงกรุงโซลกลาง ประเทศเกาหลีใต้ มีคำตัดสินให้ “นายอี แจ ยอง” ทายาทเจ้าของบริษัทซัมซุงต้องรับโทษจำคุก 5 ปี ฐานติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐและให้การเท็จ

คดีอื้อฉาวที่เกี่ยวข้องกับ “นางชเว ซุน ซิล” คนสนิทของอดีตประธานาธิบดี “ปาร์ก กึน เฮ” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของเกาหลีใต้ ที่ท้ายที่สุดต้องถูกขับออกจากตำแหน่งและปัจจุบันถูกกักบริเวณอยู่ในศูนย์ควบคุมตัวในกรุงโซล

แม้ อี แจ ยอง จะยื่นอุทธรณ์ แต่โอกาสที่จะรอดพ้นจากคดีนี้นั้นน้อยมาก ส่งผลให้สถานการณ์การบริหารของบริษัทซัมซุง บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้นั้นต้องตกอยู่ในภาวะสุญญากาศ

การขาด อี แจ ยอง ตำแหน่งรองประธานบริษัทซัมซุง ที่เข้ามารับหน้าที่บริหารงานต่อจาก ลี คุน ฮี ผู้เป็นพ่อที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลนับตั้งแต่เกิดภาวะหัวใจวายเมื่อปี 2014 นั้น

ส่งผลให้ชื่อของ ลี บู จิน เป็นชื่อที่ถูกพูดถึงในฐานะผู้ที่จะเข้ามากุมบังเหียนบริษัทผู้ผลิตสมาร์ตโฟนอันดับหนึ่งของโลกแห่งนี้ต่อไป

 

ลีบู จิน น้องสาวของ อี แจ ยอง เป็นลูกสาวคนกลางในบรรดาพี่น้องสามคนของ ลี คุน ฮี เกิดในปี 1970

แม้จะเกิดในครอบครัวนักธุรกิจ ลี บู จิน ก็สร้างชื่อในฐานะนักธุรกิจหญิงความสามารถสูงขึ้นมาด้วยตัวเอง

ลี บู จิน ปัจจุบันในวัย 47 ปี จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของเกาหลีใต้อย่างมหาวิทยาลัยยอนเซ ก่อนเข้าทำงานในมูลนิธิซัมซุง เมื่อปี 1995

ทายาทซัมซุงทั้งสามมีตำแหน่งสำคัญในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริษัทซัมซุงทั้งสิ้น และเตรียมเป็นผู้รับมรดกตกทอดมูลค่ามหาศาลของกลุ่มธุรกิจ “แชโบล” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้แห่งนี้

ลูกสาวคนโตของครอบครัวซัมซุงปัจจุบันครองตำแหน่งผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในเกาหลีใต้ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 1,790 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 59,000 ล้านบาท นำหน้าน้องสาว ลี โซ ฮยุน ที่ตามมาในอันดับที่สองด้วยทรัพย์สิน 1,680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 55,700 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังติดอันดับผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกในอันดับที่ 98 ในปี 2016 และติดอันดับที่ 17 ผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในเกาหลีใต้เมื่อปี 2017 จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์

 

ลีบู จิน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเครือโรงแรมชิลลา หนึ่งในธุรกิจโรงแรมและศูนย์ประชุมชั้นนำของเกาหลีใต้ และยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ซัมซุง ซีแอนด์ที โฮลดิ้ง คอมพานี ของเครือบริษัทซัมซุงทั้งหมด

ทายาทลำดับที่ 2 ของซัมซุงพิสูจน์ฝีมือในงานบริหารหลังเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารโรงแรมชิลลา เมื่อปี 2011 ด้วยการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง จนสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นได้ถึง 61 เปอร์เซ็นต์ในปี 2014 นอกจากนี้ ลี บู จิน ยังก้าวเข้าสู่ธุรกิจสินค้าปลอดภาษีด้วย

ในจำนวนนั้นรวมไปถึงการเปิดร้านหลุยส์วิตตองในสนามบิน

 

ลีบู จิน แต่งงานกับ ลิม วู แจ อดีตบอดี้การ์ด ในบริษัทรักษาความปลอดภัยในเครือซัมซุง เมื่อปี 1999 ก่อนที่จะถูกฟ้องหย่าในปี 2013

คดียืดเยื้อกันจนถึงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาโดยศาลตัดสินให้ ลี บู จิน ได้สิทธิในการดูแลลูกชาย แต่ก็ต้องจ่ายเงินในการแบ่งสินสมรสให้กับอดีตสามีเป็นเงินถึง 8,600 ล้านวอน หรือราว 253 ล้านบาท

ลิม วู แจ ได้รับฉายาว่า “มิสเตอร์ซินเดอเรลล่า” เนื่องจากฐานะทางสังคมที่แตกต่างกันอย่างมากกับภรรยา

โดยหลังจากแต่งงานกัน ลิม วู แจ ถูกส่งไปเรียนด้านบริหารธุรกิจที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือเอ็มไอที ทั้งๆ ที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษแม้แต่คำเดียว

และนั่นเป็นประสบการณ์ที่ ลิม วู แจ ระบุว่าเป็นฝันร้าย

อย่างไรก็ตาม หลังจบการศึกษา ลิม วู แจ ก็กลับมาไต่ระดับผู้บริหารขึ้นอย่างรวดเร็วจนขึ้นถึงรองประธานบริหารบริษัทซัมซุง อิเล็กทรอ-เมคานิกส์

ก่อนที่จะมีปัญหากับภรรยาและออกจากตำแหน่งไปในที่สุด

 

หลังข่าวการถูกสอบสวนของพี่ชายแพร่กระจายออกไป ลี บู จิน ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งบริหารซัมซุงคนต่อไป โดย ปาร์ก วอน โอ อดีตประธานสมาคมขี่ม้าเกาหลีใต้ และผู้ช่วยใกล้ชิด ชเว ซุน ซิล เคยระบุไว้ว่า ลี บู จิน นั้น ได้รับการสนับสนุนจากผู้เป็นแม่ในการรับสืบทอดตำแหน่งบริหารมากกว่าพี่ชายเสียอีก เนื่องจาก ลี บู จิน มีบุคลิกและสไตล์การบริหารงานที่เหมือนกับพ่อมากที่สุดในบรรดาลูกทั้ง 3 คน

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวใกล้ชิดบริษัทซัมซุงเปิดเผยกับรอยเตอร์เมื่อไม่นานมานี้ว่า การคาดการณ์ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ยากเนื่องจากการแบ่งหน้าที่การบริหารอย่างชัดเจนระหว่าง ลี บู จิน ที่บริหารธุรกิจโรงแรมและธุรกิจสินค้าปลอดภาษี กับ อี แจ ยอง ที่บริหารธุรกิจด้านเทคโนโลยี

จากนี้ไปคงต้องจับตาการยื่นอุทธรณ์คดีของ อี แจ ยอง ว่าจะมีผลอย่างไร

เช่นเดียวกับการติดตามดูว่ากลุ่มทุนแชโบล ยักษ์ใหญ่อย่างซัมซุง จะแก้ปัญหาการขาดผู้นำในครั้งนี้ด้วยวิธีการใด