กาละแมร์ พัชรศรี : คนดีอย่าท้อแท้

“การทำความดีนั้น โดยมากเป็นการเดินทวนกระแสความพอใจและความต้องการของมนุษย์ จึงทำได้ยากและเห็นผลช้า แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะหาไม่ ความชั่วซึ่งทำได้ง่ายจะเข้ามาแทนที่ แล้วพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้ตัว…”

พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช

 

ช่วงเวลาที่ผ่านมาได้ยินคนมาพูดให้ได้ยินว่า “ทำดีไม่เห็นจะได้ดี” “ทำดีแล้วทำไมยังโดนด่า” “ทำดีแล้วทำไมชีวิตยังเป็นแบบนี้” หรือแม้แต่ “ทำไมทำดีแล้วโดนกลั่นแกล้ง”

เชื่อว่าหลายคนอาจเคยตั้งคำถามนี้ขึ้นมากับสิ่งที่เราทำ แต่ถ้าเรามัวแต่หาคำตอบ มันก็จะทำให้เราไม่ได้ลงมือทำในสิ่งที่เราตั้งใจทำ

และฉันคิดว่าก็คงมีอะไรบางอย่างมาทดสอบใจเราว่า ถ้าทำดีแล้วมันยังไม่ได้ดีหรือได้รับผลตอบแทนแบบที่มันไม่ควรจะเป็น เรายังคงจะทำมันต่อไปไหม หรือเราจะหยุดทำแต่เพียงเท่านี้ จะไปต่อหรือจะพอแล้ว

เราจะเป็นตัวจริงหรือไม่…

 

ฉันรู้เลยว่าคนเราทำชั่วง่ายกว่าทำดีมากนัก มันมีสิ่งที่คอยมาหลอกล่อ ทดสอบจิตใจตลอดเวลา ความคุ้นชินเดิมๆ สภาพแวดล้อมเดิมๆ กลุ่มคนเดิมๆ ที่เขายังไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เขาสามารถชักจูงเราไปทำความชั่วได้เสมอ

แต่ใช่ว่าชีวิตเราจะไม่มีทางเลือก เมื่อเรามีสติ เราจะรู้ว่าเราควรทำอะไรหรือไม่ควรทำอะไร

ความเคยชินเดิมจะกระซิบข้างหูเราว่า “ทำสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกน่า”

แต่ความดีที่เราทำมาจะกระซิบเราอีกข้างว่า “เราเดินมาไกลแล้วจะหวนกลับไปทำไม” เพราะเราไม่อาจรู้เลยว่าถ้าเรากลับไปลองทำสิ่งเดิมๆ เราจะกลับมาทางใหม่ได้อีกหรือไม่ หรือเราก็จะพ่ายแพ้ต่อความชั่วครั้งแล้วครั้งเล่าต่อไป

ฉันเรียนรู้อีกว่า “การทำความดีต้องอาศัยความเพียร”

เพราะบางทีมันต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ใช่ทำแค่ครั้งสองครั้งจะเห็นผลหรือความเปลี่ยนแปลง เราต้องเพียรทำมันไปเรื่อยๆ วันนี้ยังไม่ได้ พรุ่งนี้เอาใหม่ ไม่ท้อถอย ไม่ยอมง่ายๆ อาจต้องละความสบาย ละความชอบที่คุ้นเคย แต่มันจะดีกับเราและคนอื่นต่อไป เราก็เพียรทำต่อไป ทำอะไรทำให้จริง ไม่ล้มเลิก ไม่เหลาะแหละ ถ้าคิดจะทำแล้วทำให้จริง อยากเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ก็ต้องตั้งใจที่จะเปลี่ยนจากสิ่งเดิมๆ

เพราะถ้ายังคงทำเรื่องเดิมๆ ชีวิตมันก็เดิมๆ

 

ฉันเรียนรู้ว่า “การทำความดีต้องอาศัยความอดทน”

บางทีผลมันก็ไม่เป็นไปอย่างที่เราคิดไว้ ก็ไม่เป็นไร เพราะเราตั้งใจทำเพราะเราอยากทำ ผลมันจะเป็นอย่างไรเราคาดเดาหรือบังคับให้มันเป็นไปอย่างใจเราไม่ได้

ใครจะเห็นหรือไม่เห็นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราทำดีเราก็ดี คืออย่างน้อยเราทำแล้วเราดีกับตัวเรา ความรู้สึก จิตใจของเราเลย เราแจ่มใสเบิกบาน มีพลังมีรอยยิ้ม หัวใจพองโต นี่ยังไม่เพียงพออีกเหรอ ไม่จำเป็นต้องไปรอคำชมเชยหรือสรรเสริญเยินยอจากใคร เพราะไม่อย่างนั้นชีวิตของเราจะต้องไปรอความพึงพอใจจากคนอื่นแล้วถึงจะทำให้เรามีความสุขได้

อดทนแม้คนจะถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม อดทนแม้คนจะไม่เข้าใจ อดทนแม้บางคนจะไม่เห็นด้วย อดทนแม้จะถูกเย้ยหยัน อดทนแม้จะถูกกลั่นแกล้ง

ฉันเรียนรู้ว่า เวลาเราทำสิ่งที่ดีคนเราจะเกิดความสงสัย แต่ถ้าเวลาเห็นเราทำชั่วไม่เห็นมีใครท้วงติงหรือตั้งข้อสังเกต กลับปล่อยให้เราทำชั่วต่อไป

อย่างเช่น เข้าวัดทำไมมีปัญหาอะไรหรือเปล่า รักษาศีล 5 ไปทำไม ทำไมเลิกกินเนื้อ นั่งสมาธิเพื่ออะไร แต่ถ้าเราไปผับกินเหล้าเมากลิ้งไม่เคยห้ามเราเลย ไม่เคยมาบอกว่ามันไม่ดีเลย เห็นเราทำผิดศีลตั้งหลายข้อ ไม่เคยมาห้ามปราม อยากทำก็ทำไป เพราะมันดูเข้าพวกกับเขาดี ไม่แปลกแยกแตกต่าง

เวลาคนมาตั้งข้อสงสัยเรา เราก็จะสั่นคลอนได้ง่ายๆ และไม่มั่นใจว่าเราจะทำต่อไปดีไหม เราต้องใช้สติปัญญากลั่นกรองว่าคนที่มาตั้งข้อสงสัยเราคือใคร เขาหวังดีกับเราจริงไหม เป็นกัลยาณมิตรหรือเปล่า เป็นคนที่อยากเห็นเราได้ดีหรือเปล่า

อย่าหวั่นไหวกับคำคน เพราะเขาก็แค่พูด พูดน่ะมันง่าย แต่คนลงมือทำอย่างเรามันยาก อย่าให้น้ำลายไม่กี่หยดมาทำให้เราหมดกำลังใจที่จะทำความดีต่อไป

ฉันเรียนรู้ว่า เราต้องเชื่อมั่นในความดีที่เราทำ เมื่อเรารู้แน่ชัดแล้วว่า เรากำลังทำอะไร ทำไปเพื่อใครเพื่ออะไร เรารู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ เราต้องมั่นคงในสิ่งเราทำ อย่าหวั่นไหวง่ายๆ มันอาจจะท้อแท้เพราะโดนกลั่นแกล้ง ขัดแข้งขัดขา สร้างปัญหาให้สารพัดเพื่อให้เราไม่ได้ทำดีอย่างที่เราเคยทำ ถ้าเราหยุด ถ้าเราท้อ ถ้าเราหมดแรง คนที่มันแกล้งเราเขาก็ได้อย่างที่เขาต้องการ

แต่เราต้องไม่ลืมว่า เราตั้งใจทำความดีนี้เพื่ออะไร ทำไมเราถึงอยากทำ ทำแล้วมันดีต่อเราและผู้อื่นอย่างไร ถ้าเรามีเป้าหมายชัดเจน เรารู้จุดหมายปลายทางของเราชัดเจน แม้หนทางที่เราเดินไปมันจะมีกิ่งไม้มาขวาง คนขว้างขี้ขว้างก้อนหินมา คนจะซิบซุบนินทาระหว่างทาง แม้ต้องเดินอย่างลำพังโดดเดี่ยวเราก็ต้องทำ

ทำดีมันไม่ง่าย แต่มันก็ไม่ยากเกินความตั้งใจจริง

และฉันก็เรียนรู้อีกอย่างว่า “ความดีจะคุ้มครองเราเสมอ…”