2503 สงครามลับ สงครามลาว (72)/บทความพิเศษ พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

บทความพิเศษ

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

 

2503 สงครามลับ

สงครามลาว (72)

 

ก่อนแตกหัก

เจมส์ อี. ปาร์กเกอร์ จูเนียร์ บันทึกสถานการณ์ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม พ.ศ.2514 ว่า ปืนใหญ่กระสุนวิถีราบ 130 ม.ม. และปืนใหญ่กระสุนวิถีโค้ง 122 ม.ม.ของเวียดนามเหนือ เริ่มยิงหาหลักฐานต่อเป้าหมายสำคัญที่ฐานยิงสนับสนุนของทหารไทยทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ ฐานยิงคิงคอง ฐานยิงไลอ้อนและฐานยิงมัสแตง

ที่หมายหลักของ “CAMPAIGN Z” ทั้งสองฝ่ายต่างให้ความสำคัญต่อฐานยิงปืนใหญ่ บก.ผสม 333 หวังใช้ปืนใหญ่เป็นอาวุธเผด็จศึกขั้นสุดท้าย ขณะที่ฝ่ายเวียดนามเหนือก็เคยสูญเสียอย่างหนักมาแล้วจากการยิงของปืนใหญ่ทหารไทย จึงกำหนดให้เป็นที่หมายสำคัญแตกหักที่ต้องทำลายให้ได้เป็นลำดับแรก

คืน 12 ธันวาคม กองร้อยทหารปืนใหญ่ที่ 8 แห่งกองพล 312 เวียดนามเหนือซึ่งเคลื่อนที่เข้าใกล้ที่หมายจนอยู่ในระยะยิงหวังผล เริ่มระดมยิง ค. 82 ม.ม. และ ปรส. 75 ม.ม. เข้าสู่ที่หมายกองพันทหารเสือพราน บีซี 603 ที่วางกำลังป้องกันฐานยิงมัสแตง

การเปิดฉากการยิงครั้งนี้มิได้หวังผลการทำลาย แต่เพื่อกลบเสียงการเคลื่อนย้ายขบวนยานยนต์ซึ่งกำลังลำเลียงสัมภาระมาสนับสนุนกรม 141 และกรม 165 ที่กำลังเตรียมออกตีตามแผน

ขบวนยานยนต์นี้ประกอบด้วยรถยนต์บรรทุก 42 คัน ลำเลียงกระสุนชนิดต่างๆ จำนวน 118 ตัน วัตถุระเบิด ข้าว และเกลือ รวมทั้งเสบียงสำเร็จรูป

ซึ่งผลจากการยิงลวงครั้งนี้ทำให้ขบวนลำเลียงสามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างราบรื่นโดยปราศจากการขัดขวางของศัตรู

 

17 ธันวาคม 2514

พ.อ.เหงียน ชวน ผู้บังคับการกรม 165 รับผิดชอบที่หมายหลักภูเทิง บรรยายเหตุการณ์เมื่อค่ำวันที่ 17 ธันวาคม ว่า หน่วยเข้าตีของกองทัพปลดปล่อยเวียดนามเหนือรวมตัวกันแล้วกล่าวคำปักใจยืนยันความมุ่งมั่นต่อชัยชนะในการรบ มีหน่วยหนึ่งกรีดเลือดจากทหารทุกคนมารวมกันแล้วใช้นิ้วชี้จุ่มเลือดขึ้นมาเขียนชื่อของตนและหน่วยที่สังกัดบนผืนธงสีแดง

กองพันทหารปืนใหญ่เริ่มระดมยิงปืนใหญ่สนาม 122 ม.ม.เข้าใส่พื้นที่กรม GM 21 ของนายพลวังเปาซึ่งอยู่บริเวณพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของทุ่งไหหิน อันเป็นสัญญาณถึงทุกหน่วยตามที่ตกลงกันไว้แล้วให้เริ่มเคลื่อนที่เข้าสู่แนวออกตี

ตลอดคืน 17 ธันวาคมจนถึงวันใหม่ การระดมยิงด้วยปืนใหญ่เป็นไปอย่างหนาแน่นและต่อเนื่องทั้งต่อที่หมายเข้าตีโดยตรง และที่ตั้งทหารไทยและทหารม้งทุกหน่วยทั่วทุกพื้นที่ทุ่งไหหิน

 

บันทึกของซีไอเอ

ช่วงเวลาเดียวกับบันทึกของ พ.อ.ชวง เจมส์ อี. ปาร์กเกอร์ จูเนียร์ บันทึกว่า ควันไฟจากการเผาไร่บนภูเขารอบตัวทุ่งบดบังทัศนวิสัยโดยรอบ ส่งผลให้ต้องยกเลิกภารกิจหลายเที่ยวบิน

และทันทีที่อาทิตย์ลับขอบฟ้า ข้าศึกก็เปิดฉากระดมยิงฐานปืนใหญ่ของทหารไทยบนยอดเขาอย่างหนักด้วยปืนใหญ่ขนาด 130 ม.ม. ซึ่งยิงไกล 28 กิโลเมตร ไกลกว่าปืนใหญ่ของอเมริกันเกือบ 1 เท่าครึ่งที่พยายามยิงตอบโต้อย่างไร้ผล

จากล่องแจ้ง วังเปาส่งเครื่องบินรบแบบเดียวที่มีอยู่ในตอนนั้นคือเครื่องบินใบพัดแบบที-28 หวังทำลายฐานปืนใหญ่ข้าศึก เครื่องที-28 สองลำ หรือกว่าครึ่งของกำลังทางอากาศของวังเปาถูก ปตอ.เวียดนามเหนือที่ติดตั้งอยู่ใกล้กับฐานปืนใหญ่ 130 ม.ม.ยิงตก

การเปิดฉากโจมตีด้วยอาวุธหนักของเวียดนามเหนือครั้งนี้มีการวางแผนอย่างดีเยี่ยม อานุภาพปืนใหญ่ 130 ม.ม.รุนแรงเสียจนทหารไทยต้องหลบลงไปซ่อนตัวอยู่ในบังเกอร์ใต้ดิน เมื่อไม่มีการยิงตอบโต้ ทหารราบเวียดนามเหนือที่รายล้อมเชิงเขาก็สามารถเคลื่อนตัวมุ่งสู่ยอดเขาอย่างสะดวก

แม้วังเปามีความตั้งใจจะช่วยทหารไทยบนนั้น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก

 

บันทึกของ “ภูสิน”

“วันนี้หมอกหนาทึบและฝนตกพรำๆ ตั้งแต่ยังไม่สว่าง หน่วยทหารปืนใหญ่ที่ ‘คิงคอง’ ‘มัสแตง’ และ ‘ไลอ้อน’ ได้รับข่าวสารจากหน่วยทหารราบเสือพราน-บีซี ที่ระวังป้องกันให้แต่ละฐานยิงคือ บีซี 610 บีซี 607 และบีซี 609 ว่าทหารกองทัพแห่งชาติลาวภาค 2 – กรมเคลื่อนที่เร็วซึ่งจัดเป็นกองรักษาด่านทั่วไปเพื่อเผชิญหน้าข้าศึกบริเวณ ‘ภูเก็ง’ และ ‘ภูเทิง’ ซึ่งตามตำราท่านว่าจะต้อง ‘รั้งหน่วง’ การเข้าตีของข้าศึกให้ได้นานที่สุด ‘ลวง’ ให้ข้าศึกเข้าใจว่าเป็นที่มั่นใหญ่และ ‘ทำลาย’ กำลังข้าศึกให้ได้มากที่สุดก่อนที่ข้าศึกจะไปรบกับที่มั่นใหญ่ของฝ่ายเรานั้น ได้ใช้ขีดความสามารถในด้านการเคลื่อนที่เร็วโดย ‘โตนโลด’ ไปหมดแล้ว โดยไม่ได้ ‘รั้งหน่วง-ลวง-ทำลาย’ ข้าศึกแม้แต่น้อย”

“วันที่ 17 ธันวาคม 2514 ในทุ่งไหหินผ่านไปเหมือนกับหน่วยทหารกองทัพแห่งชาติลาวภาค 2 ที่ ‘โตน’ ผ่านฝ่ายเราไปอย่างรวดเร็ว ฝ่ายเรายังไม่มีรายงานการสูญเสีย ดังนั้น กองกำลังทหารเสือพรานในทุ่งไหหินจึงเผชิญหน้ากับข้าศึกอย่างจังตลอดแนว”

 

บันทึกของ “ผาอิน”

“เวลาแห่งการรอคอยนั้นก็มาถึงเมื่อเวลากลางดึก กำลังรบประมาณ 15,000 คนของข้าศึกสนับสนุนด้วยปืนใหญ่ขนาด 130 ม.ม.ซึ่งถูกนำมาใช้ในลาวเป็นครั้งแรกมีรัศมีการยิงไกลสุดถึง 27 ก.ม. ปตอ.ขนาดต่างๆ อาวุธหนักของทหารราบทุกชนิดและหน่วยรถถังอันเป็นกำลังสำคัญในการเข้าตีก็เริ่มเคลื่อนเข้าสู่ทุ่งไหหินจากทิศเหนือและทิศตะวันออก”

“ทหารเสือพรานหน่วยแรกที่รับมือฝ่ายข้าศึก ได้แก่ กองพันทหารเสือพราน บีซี 609 อันมีที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกสุดของทุ่งไหหินที่บริเวณภูเทิง โดยเริ่มปะทะกับส่วนหน้าของข้าศึกตั้งแต่กลางดึกของคืนนั้นและสามารถหยุดยั้งข้าศึกไว้ได้ตลอดคืน สูญเสียกำลังพลไป 4 นายบาดเจ็บ 14 นาย”

“สามารถสังหารข้าศึกลงได้เป็นจำนวนมาก”

 

18 ธันวาคม 2514

การเข้าตีด้วยกำลังทางพื้นดินตามขั้นตอนที่ 1 ของ CAMPAIGN Z เริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลา 05.30 น.ของวันที่ 18 ธันวาคม ซึ่งฝ่ายเวียดนามเหนือหวังว่าหมอกบนพื้นดินและเพดานเมฆจะยังคงมีระดับต่ำกำบังการปฏิบัติการทางพื้นดินของฝ่ายตนให้ปลอดภัยจากการตรวจการณ์ของศัตรู โดยเฉพาะการโจมตีทางอากาศ

การปฏิบัติตามแผนยุทธการ CAMPAIGN Z ของนายพลเหงียน ฮู อัน ซึ่งจะเป็นการรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและท้ายสุดในประวัติศาสตร์แห่ง “สงครามลับ สงครามลาว” เปิดฉากขึ้นแล้ว ณ บัดนั้น

“ผาอิน” แห่ง พัน.ป.ทสพ.635 บันทึกสถานการณ์ต่อไปดังนี้…

เช้าตรู่ข้าศึกประชิดแนวฝ่ายเราทุกด้าน โดยเฉพาะด้านตะวันออกคือภูเทิง ข้าศึกทุ่มกำลังเข้าสู่ที่ตั้งของ พัน.ทสพ. 609 ระดมยิงอาวุธหนักทุกชนิดเข้าสู่ที่ตั้งของฝ่ายเราที่ภูเทิง พร้อมกับใช้ปืนใหญ่และอาวุธหนักต่างๆ ยิงถล่มกดฐานยิงปืนใหญ่ฝ่ายเราไว้ไม่ให้สนับสนุนหน่วยต่างๆ ได้เต็มที่ จนกระทั่งกองร้อยที่ 1 พัน.ทสพ 609 ถูกระดมยิงด้วยอาวุธหนักเป็นจำนวนนับพันนัดเกิดไฟลุกท่วมฐาน กำลังพลแตกกระจัดกระจายและสูญเสียเป็นจำนวนมาก บางส่วนตีฝ่าไปทางทิศใต้ บางส่วนหนีไปรวมกับที่ตั้ง บก.พัน ทสพ.609 ซึ่งยังคงต่อต้านข้าศึกต่อไปแม้ว่าจะเหลือกำลังเพียง 2 กองร้อย กระสุนและเสบียงต่างๆ ไม่มีทางได้รับเพิ่มเติม และข้าศึกล้อมไว้หมดทุกด้านแล้ว

บก.ฉก.วีพี ได้สั่งการให้ยึดรักษาที่ตั้งไว้ให้ได้ ห้ามมิให้ตีฝ่าออกมาเป็นอันขาด

ทางด้านตะวันออก ฝ่ายเรายังคงควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ทางด้านเหนือที่ภูเก็งอันเป็นที่ตั้งของฐานยิงคิงคอง พัน.ทสพ.606 และพัน ทสพ.608 ข้าศึกได้ระดมยิงอาวุธหนักทุกชนิดพร้อมทั้งเคลื่อนกำลังประมาณ 7 กองพันเข้าประชิดภูเก็งจากทิศเหนือและทิศตะวันออก ปืนใหญ่ฐานยิงคิงคองได้ทำการยิงต่อต้านอย่างหนักแม้จะถูกข้าศึกระดมยิงมายังที่ตั้งอย่างหนาแน่นจนกระทั่งกำลังพลของเราได้รับบาดเจ็บหลายคน

และเมื่อเวลา 10.00 น. พัน ป.ทสพ.635 ของเราก็สูญเสียนายทหารคนแรกคือหัวหน้า “โภคิน” รอง ผบ.ฐานยิงคิงคอง ขณะออกไปดูแลกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บนอกบังเกอร์โดยที่ถูกกระสุนปืนใหญ่ 130 ม.ม.ของข้าศึกตกในระยะใกล้ สะเก็ดระเบิดถูกที่สำคัญทำให้เสียชีวิตทันที

เรารับทราบการสูญเสียของหัวหน้าโภคินด้วยความเศร้าสลดใจ แต่การเสียชีวิตด้วยความกล้าหาญของหัวหน้าโภคินกลับเป็นกำลังใจให้พวกเราปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้น

หัวหน้าทุกนายที่ฐานยิงคิงคองแยกย้ายกันออกปลอบขวัญกำลังพลและควบคุมการปฏิบัติงานอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้สามารถหยุดยั้งข้าศึกไว้ได้เป็นเวลานานกว่าทางด้านอื่น

ทางด้านตะวันออกของทุ่งไหหินอันเป็นที่ตั้งฐานยิงสติงเรย์กับพัน.ทสพ.610 สองกองร้อย (กองร้อยที่ 2 แยกไปเป็นหน่วยระวังป้องกันฐานยิงแพนเธอร์) และทางด้านใต้อันเป็นที่ตั้งฐานคิงคอบร้า กับพัน.ทสพ. 604 ข้าศึกก็ได้ระดมยิงอาวุธหนักมายังที่ตั้งตั้งแต่เย็นวันที่ 18 ธันวาคม 2514 เพื่อขัดขวางไม่ให้ปืนใหญ่ของเรายิงช่วยด้านตะวันออกได้ พร้อมกันนั้นก็ส่งกำลังเข้าโอบล้อม

ผบ.ฉก.วีพี (หัวหน้าแสน) และที่ปรึกษา บก.ฉก.วีพี (หัวหน้าทน) ได้สั่งให้ทุกหน่วยพยายามรักษาที่มั่นไว้ให้ได้

ทางด้านกำลังทหารท้องถิ่นของนายพลวังเปาก็ถูกข้าศึกตีแตกและถอยร่นผ่านแนวหน้าฝ่ายเราเข้ามาทุกด้านแล้ว ทางด้านเมืองสุย กำลังทหารท้องถิ่นฝ่ายเราก็ต้องเสียที่มั่นไปตั้งแต่เช้ามืดของวันที่ 18 ธันวาคมนี้เช่นเดียวกัน