ชีวิต ‘ผู้จัดการดารา’ ใน ‘Call My Agent!’ / คนมองหนัง

คนมองหนัง

คนมองหนัง

 

ชีวิต ‘ผู้จัดการดารา’ ใน ‘Call My Agent!’

 

ท่ามกลางความสนใจ-ใส่ใจที่ผู้คนในสังคมไทยมีต่อข่าวคราวกรณีการเสียชีวิตของดาราสาว “แตงโม นิดา”

หนึ่งในอาชีพที่ถูกจับจ้องและซัดสาดใส่ด้วยแสงสปอตไลต์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก็คือ อาชีพ “ผู้จัดการดารา”

อย่างไรก็ตาม บทความชิ้นนี้จะมิได้กล่าวถึง “ผู้จัดการของแตงโม” รวมทั้ง “ผู้จัดการดารา” ในวงการบันเทิงไทยโดยรวม

ทว่า อยากแนะนำให้ผู้อ่านรู้จักซีรีส์สนุกๆ จากประเทศฝรั่งเศส (มีฉายอยู่ในเน็ตฟลิกซ์) ซึ่งบอกเล่าถึงเหล่าตัวละครที่ประกอบวิชาชีพเป็น “ผู้จัดการของนักแสดง”

ซีรีส์เรื่องดังกล่าวมีชื่อว่า “Call My Agent!”

 

จนถึงปัจจุบัน “Call My Agent!” ได้แพร่ภาพไปแล้ว 4 ซีซั่น (ล่าสุดมีข่าวว่าทางผู้ผลิตกำลังดำเนินการสร้างซีรีส์ฤดูกาลใหม่ ร่วมด้วยการต่อยอดเรื่องราวในฉบับภาพยนตร์)

ซีรีส์เรื่องนี้ถ่ายทอดวิถีชีวิต-วิถีการทำงานภายในอุตสาหกรรมบันเทิงฝรั่งเศส-โลกตะวันตก ของเหล่า “ผู้จัดการดารา” ใน “บริษัทจัดการ-ดูแลดารา” แห่งหนึ่ง

โดยเริ่มต้นที่การเปลี่ยนแปลงสำคัญขององค์กร เมื่อผู้ก่อตั้งบริษัทเสียชีวิตกะทันหัน จากนั้น เรื่องราวจะค่อยๆ คลี่คลายและขมวดตึง ผ่านการปรับตัว-ผันแปรของบริษัทแห่งนี้ ก่อนลงเอยด้วยจุดอวสาน-บทเริ่มต้นใหม่ในท้ายซีซั่นที่สี่

ขณะที่สายสัมพันธ์ของเหล่าตัวละครหลัก (ผู้จัดการดารา) และตัวละครรับเชิญ (หลายรายคือนักแสดงมีชื่อเสียงทั้งของฝรั่งเศสและระดับอินเตอร์ ซึ่งมาสวมบทเป็นตัวเอง) ที่ดำเนินไปด้วยอารมณ์รัก-โลภ-โกรธ-หลง หรือพฤติกรรมกิน-ขี้-ปี้-นอน ประหนึ่งมนุษย์ปกติธรรมดาทั่วไป ก็ถูกขับเน้นออกมาอย่างเปี่ยมสีสันและมีมิติสลับซับซ้อน

ผ่านการแข่งขันระหว่างบริษัท การขับเคี่ยวระหว่างเพื่อนร่วมอาชีพ และความสัมพันธ์ดีๆ ร้ายๆ ขึ้นๆ ลงๆ ระหว่างคนในครอบครัว คู่รัก หรือคู่นอน (ซึ่งมีทั้งชาย-หญิง และผู้มีความหลากหลายทางเพศ)

 

ต้องขอสารภาพก่อนว่าผมยังไม่ได้ชม “Call My Agent!” ครบถ้วนทุกซีซั่น แถมลำดับการดูก็มีความกลับหัวกลับหางอยู่พอสมควร

กล่าวคือผมเริ่มต้นดูซีรี่ส์เรื่องนี้ตรงอีพีแรกของซีซั่นที่สี่ ซึ่งมี “ชาร์ล็อตต์ แกงสบูร์ก” มาเป็น “ดารารับเชิญ” แล้วก็ค่อยๆ ดูอีพีที่เหลือในซีซั่นนั้นไปจนครบทุกตอน

จากนั้น ผมจึงย้อนกลับไปดูซีซั่นแรก ก่อนจะหยุดพักไปในระยะยาวๆ และเพิ่งมาเริ่มดูซีรี่ส์ซีซั่นที่สองในห้วงเวลาที่ “กระแสข่าวแตงโม” กำลังยึดครองพื้นที่สื่อไทยอย่างเบ็ดเสร็จ

โดยคาดว่าตนเองน่าจะได้ดูทุกอีพีของซีซั่นที่สามหลังเขียนบทความชิ้นนี้จบ

เท่าที่ได้รับชมเนื้อหาไปประมาณ 3 ใน 4 ของเรื่องราวทั้งหมด มีประเด็นหลักจำนวนหนึ่ง ซึ่ง “Call My Agent!” ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าสนใจชวนขบคิด

ประเด็นแรก เมื่อหันมองมาที่วงการบันเทิงไทย เราอาจนึกถึง “ผู้จัดการดารา” สไตล์ “เอ ศุภชัย” ซึ่งมีภาพลักษณ์เป็น “คนไนซ์” สามารถทำงาน-ประสานประโยชน์ได้กับสื่อ/องค์กรธุรกิจหลากหลายเจ้า และดูแล “ดารา-นักแสดงในสังกัด” ประหนึ่ง “ลูกในบ้าน”

หรือถ้ามองโลกในแง่ร้าย เราก็อาจวาดภาพ “ผู้จัดการดารา” บางราย ให้กลายเป็นผู้เข้ามาเกาะเกี่ยวกัดกินผลประโยชน์หรือสูบเลือดสูบเนื้อจาก “ตัวดารา” ผ่านลักษณะความสัมพันธ์อันเกิดจากความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างปัจเจกบุคคลสองฝ่าย

ขณะที่ “ผู้จัดการดารา” และ “บริษัทดูแลผลประโยชน์ของดารา” (ที่มีมากกว่าหนึ่งบริษัท) ซึ่งปรากฏในซีรี่ส์จากฝรั่งเศส กลับดำรงตนอยู่ในอุตสาหกรรมบันเทิงที่มีขอบข่ายกว้างขวาง เต็มไปด้วยผู้เล่นมากหน้าหลายตาหลากบทบาท แข่งขันกันในเชิงธุรกิจอย่างเอาเป็นเอาตาย มีการวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ และมีการแย่งชิงตัวดารากันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน

 

ในแง่การสร้างและจัดวางบุคลิกลักษณะของ “ตัวละคร” ต้องยอมรับว่าทีมงานที่สร้างสรรค์ “Call My Agent!” สามารถออกแบบ “กลุ่มตัวละครหลัก” ได้อย่างน่าทึ่ง

ไม่เพียงแต่บทซีรี่ส์จะข้ามพ้นไปจากการแบ่งขั้วง่ายๆ ระหว่างพระเอก-นางเอกกับตัวร้าย หรือคนดีกับคนชั่ว ทว่า ผู้ชมยังไม่สามารถคาดเดาพฤติกรรม-การตัดสินใจของเหล่า “ตัวละครสีเทา” ทั้งหลาย ได้ด้วยแบบแผนทางความคิดที่แน่นอนหยุดนิ่งชุดใดชุดหนึ่ง

เนื่องจาก “สีเทา” ของ “ตัวละคร” ในซีรี่ส์เรื่องนี้ ไม่ได้เกิดจากการผสมผสานกันระหว่าง “ด้านดีที่ตายตัว” (เช่น เขาเป็นพ่อที่ดี) กับ “ด้านร้ายที่คงที่” (เช่น แต่เขาก็เป็นนักธุรกิจที่แย่)

ตรงกันข้าม ซีรี่ส์กลับเลือกเล่นท่ายากกว่านั้น ด้วยการยั่วหลอกให้คนดูรู้สึกเห็นใจตัวละครบางรายในแง่มุม/ประเด็นหนึ่งๆ แล้วภายในอีพีเดียวกัน จุดเปลี่ยนของสถานการณ์บางอย่างก็จะผลักดันให้เราสามารถรู้สึกเกลียดชังตัวละครรายเดิม ในแง่มุม/ประเด็นเดียวกับที่เราเคยเห็นใจเขาหรือเธอนั่นแหละ ได้อย่างแสบสัน

สำหรับด้านรายละเอียดปลีกย่อย อารมณ์ขันและคำคมแบบฝรั่งเศสที่ปรากฏอยู่ตามรายทางของ “Call My Agent!” ก็ทำงานได้ดีเป็นส่วนใหญ่

โดยในอีพีสุดท้ายของซีซั่นสองที่มี “จูเลียต บิโนช” มาเป็น “ดารารับเชิญ” นั้น นักแสดงผู้โด่งดังรายนี้ยังได้เล่นมุขที่พาดพิงถึง “อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล” (ผู้กำกับฯ ชาวไทยที่เคยได้รับรางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์) ด้วย ส่วนจะเล่นอย่างไรและในบริบทไหน ผู้สนใจคงต้องไปหาดูกันเอาเอง

ในอีพีเดียวกัน เราจะได้ยินประโยคอุปมาที่เปรียบเทียบตัวตน-ลักษณะการทำงานของคนเป็น “ผู้จัดการดารา” ไว้อย่างแหลมคม นั่นคือพวกเขามักเป็นบุคคลที่ต้องหลบซ่อนตนเองอยู่ในเงามืด เพื่อจะทำให้คนอื่นส่องสว่างเจิดจ้า

น่าสนใจไม่น้อย ที่ ณ ตอนนี้ แฟรนไชส์ “Call My Agent!” ได้ถูกขายและนำไปดัดแปลงเป็น “ซีรี่ส์ท้องถิ่น” ในหลายๆ ประเทศทั่วโลก

เช่น เวอร์ชั่นอินเดีย (หาดูได้ในเน็ตฟลิกซ์เช่นกัน) และเวอร์ชั่นตุรกี

ขณะเดียวกัน ซีรี่ส์เวอร์ชั่นอังกฤษ, เกาหลีใต้, อิตาลี, โปแลนด์, ตะวันออกกลาง, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ก็กำลังอยู่ในช่วงการพัฒนาโปรเจ็กต์

เดาได้ไม่ยากว่าถ้ามีการสร้างซีรี่ส์เรื่องนี้ในเวอร์ชั่นแบบ “ไทยๆ” เรื่องราวคงเข้มข้น-โลดโผนโจนทะยานและผิดแผกจากต้นฉบับอยู่มากพอสมควร •