‘เปิบ’ สามัคคี จากกุ้งทอดกระเทียม ถึงดินเนอร์ ‘พรรคร่วม’/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

‘เปิบ’ สามัคคี

จากกุ้งทอดกระเทียม

ถึงดินเนอร์ ‘พรรคร่วม’

 

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะบอกว่า “ไร้สาระ” เมื่อผู้สื่อข่าวไปถาม “กุ้งทอดกระเทียมพริกไทย” ฝีมือพี่ป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ลงมือทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รับประทาน อร่อยหรือไม่

แต่กระนั้น ในทางการเมือง มีหรือที่ใครจะมองข้าม “เมนูพิเศษ” นี้ไปได้

เพราะไม่ใช่กุ้งทอดกระเทียมพริกไทยธรรมดา หากแต่ผสมด้วยรสชาติทางการเมืองอันเข้มข้นด้วย

ทั้งนี้ ย้อนไปเมื่อเวลา 11.20 น.วันที่ 4 มีนาคม พล.อ.ประยุทธ์ปลีกตัวออกจากทำเนียบรัฐบาล ไปรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกับ พล.อ.ประวิตรที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ โดยมี พล.อ.อนุพงษ์เดินทางเข้าร่วมรับประทานอาหารด้วย

ปรากฏว่า พล.อ.ประวิตรได้เข้าครัวทำอาหารเมนูกุ้งทอดกระเทียมพริกไทยให้ “คือน้อง” พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ รับประทาน

ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะรับประทานกันเงียบๆ

แต่ที่ไม่ธรรมดา เนื่องจากภาพกุ้งทอดกระเทียมพริกไทยจานที่ว่าถูกส่งออกไปเผยแพร่ยังสื่อมวลชน

เหมือน “จงใจ” ให้เห็นว่า กุ้งทอดกระเทียมพริกไทยจานนี้ไม่ธรรมดา

ไม่ธรรมดาตามข้อสังเกตจากสื่อมวลชนติดตามว่า นี่นับเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์เดินทางไปร่วมรับประทานอาหารร่วมกับ พล.อ.ประวิตรที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ หลังจากที่ไม่ได้เดินทางไปพบกันเป็นการส่วนตัวมานานมาก

ท่ามกลางกระแสข่าวความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง

รวมถึงกระแสข่าวเตรียมแยกทางกันเดินทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า

การพบกันครั้งนี้จึงได้รับการคาดหมายว่า เพื่อลดโทนภาพความขัดแย้งลง

โดยมี “กุ้งทอดกระเทียมพริกไทย” เป็นเมนูเชื่อมโยงความสัมพันธ์อันดีระหว่างพี่น้อง 3 ป.

เรื่องนี้จึงไม่ไร้สาระอย่างแน่นอน

ตรงกันข้าม กลับเป็น “สื่อ” สำคัญที่พี่น้อง 3 ป.ต้องการจะสื่อออกไป

เพื่อยืนยันอีกครั้งและอีกครั้งว่า ไม่ได้แตกแยกกัน

แต่จะได้รับความเชื่อถือหรือไม่ อันนี้ยังเป็นคำถาม

โดยเฉพาะท่าทีของกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ พล.อ.ประวิตรหนุนหลังและให้คำรับรองว่า เมื่อ ร.อ.ธรรมนัสไปตั้งพรรคใหม่คือพรรคเศรษฐกิจ ก็ยังคงจะเป็นเสียงสนับสนุนรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ต่อไป

แต่ในท่ามกลางการยืนยันดังกล่าว ร.อ.ธรรมนัสกลับวางระยะห่างจาก พล.อ.ประยุทธ์มากขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งการไม่ยืนยันว่าจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

ทั้งการไม่ยืนยันว่า 18 เสียงของกลุ่มตนเองจะมั่นคงกับฝ่ายรัฐบาลตลอดไป

แถมยังรุกคืบไปอีกขั้น ด้วยการหยันว่า ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยบอกว่ารัฐบาลมีเสียงสนับสนุนถึง 260 เสียง เป็นการฝันไปหรือเปล่า

และล่าสุด คือการที่ ร.อ.ธรรมนัสโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2565 ระบุว่า

“วันนี้เป็นวันเสาร์ 5

เป็นวันมงคลเลยถือโอกาสมาเสวนาธรรมกับพระอาจารย์ที่ผมให้ความเคารพนับถือ

ท่านได้หยิบยกหนทางสว่างคือพรหมวิหาร 4 เราชาวพุทธคงเข้าใจดีว่าพรหมวิหาร 4 มีอะไรบ้าง

และระหว่างสนทนาธรรมผมเหลือบไปเห็นเสาวิหารด้านข้างที่ผมนั่งอยู่ ได้บันทึกถึงพรหมพินาศ 4 เป็นหนทางไปสู่ความวิบัติ…นั้นคือ

1. หลงอำนาจ

2. ฉ้อราษฎร์บังหลวง

3. หลอกลวงลูกน้อง

4. ยกย่องคนเลว…”

ร.อ.ธรรมนัสต้องการสื่อข้อความนี้ถึงใคร

และใคร พรหมพินาศ 4 ย่อมไม่เหนือความคาดหมาย

และท้าทายโดยตรงไปยังเมนูกุ้งทอดกระเทียมพริกไทยจานนั้น โดยตรงด้วย

จึงดูเหมือนไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับพี่น้อง 3 ป. ที่จะต้องสร้าง “ภาพ” ความแน่นแฟ้นให้เกิดขึ้นเพื่อสยบการท้าทายของ ร.อ.ธรรมนัส ที่ว่ากันว่าก็เป็นผลมาจากการถือหางจาก พล.อ.ประวิตร ขณะเดียวกันก็ขัดแย้งชัดเจนกับ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ จนแยกกันเดิน และกลายเป็นปมขัดแย้งทางการเมืองที่ร้าวลึกมาจนถึงวันนี้ และจะต่อเนื่องไปถึงอนาคต

และที่สำคัญตอนนี้ ไม่ได้จำกัดวงเฉพาะกรณีของพรรคเศรษฐกิจไทยของ ร.อ.ธรรมนัสเท่านั้น

หากแต่ลามไปยังพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ที่เริ่มแสดงตัวตนและจุดยืนของตนเอง พร้อมๆ กับที่พรรคพลังประชารัฐอ่อนแอ ขัดแย้ง ขาดเอกภาพมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ว่าปัญหาการควบคุมเสียง ส.ส.ในสภา ที่เกิดปัญหาสภาล่มบ่อยครั้ง

ประธานวิปรัฐบาลที่มาจากพรรคพลังประชารัฐ มิอาจควบคุมเสียงทั้งในพรรคตัวเอง และพรรคร่วมรัฐบาลได้

ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือ กรณีการลงมติเลือกเก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และพรรคการเมือง ที่พรรคพลังประชารัฐแพ้เพียง 1 คะแนน ทำให้ความต้องการที่พรรคพลังประชารัฐจะให้นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธานกรรมาธิการ

ต้องพ่ายแพ้ให้กับนายสาธิต ปิตุเตชะ ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไปจับมือร่วมกับพรรคภูมิใจไทย พรรคฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทยและก้าวไกล โดดเดี่ยวพรรคพลังประชารัฐอย่างเจ็บแสบ

 

ถือเป็นสัญญานเตือนภัยไปถึงพรรคพลังประชารัฐ ว่า แม้จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ก็ไม่อาจวางใจได้ว่าจะสามารถกำหนดอะไรต่อมิอะไรได้ใจชอบทั้งหมด

และยิ่งหลังจากนี้ สถานการณ์ยิ่งจะเข้มข้น

โดยเฉพาะในสภากำลังพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่เนื้อหาของกฎหมายที่ออกมาจะชี้ชะตาการเมืองในอนาคต

ซึ่งพรรคพลังประชารัฐจะต้องกำกับดูแลให้ดี แต่ก็พลาดตั้งแต่ก้าวแรกคือพ่ายแพ้ในการชิงประธานกรรมาธิการ

และอาจจะเพลี่ยงพล้ำในเรื่องอื่นได้อีก

จึงนำไปสู่การสั่นคลอนทางการเมือง เมื่อเกิดกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์อาจไม่มีทางเลือก จะต้องเลือกทางยุบสภา เพื่อสกัดมิให้เนื้อของ 2 พ.ร.ป.ไปเอื้อให้กับฝ่ายตรงข้ามคือพรรคเพื่อไทย

ข่าวลือเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อความเชื่อมั่นต่อ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลอย่างแน่นอน

ขณะที่ฝ่ายค้านก็เร่งจะเดินเกมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ให้เร็วที่สุดหลังจากเปิดสมัยประชุมสภาวันที่ 22 พฤษภาคม

เพื่อไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ยุบสภาหนี จะต้องเดินหน้า 2 พ.ร.ป.ให้ผ่านก่อน

แล้วตามด้วยการขึงพืดผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ อันจะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์บอบช้ำ

และยังต้องลุ้นว่า พรรคร่วมรัฐบาลยังจะเป็นหนึ่งเดียวกับตนเองหรือไม่ โดยเฉพาะกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัสจะเอาอย่างไร

นอกจากนี้ ยังมีร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2566 ที่จะเข้าช่วงวันที่ 1-2 มิถุนายน ให้ลุ้นหนักอีกว่าจะผ่านหรือไม่

แน่นอนคงต้องพึ่งพาพรรคร่วมรัฐบาลอย่างมาก

ซึ่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเตือนและแนะนำว่าในส่วนของรัฐบาล นายกฯ อาจต้องใช้เวลาในการลงมาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะพรรคที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลก็จะต้องลงมาดูลึกเป็นพิเศษ เพราะเสียงส่วนใหญ่อยู่ที่พรรคแกนนำ ไม่ได้อยู่ที่ประชาธิปัตย์ หรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่น

เช่นเดียวกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ชี้ว่า คนที่จะทำให้รัฐบาลล้มได้ก็คือคนในรัฐบาล ไม่ใช่คนนอก หากต้องการประคับประคองสถานการณ์ไม่ให้มันเกิดขึ้น ก็ต้องพยายามที่จะเข้าใจกัน รับฟังกัน ให้เกียรติกันให้มากที่สุด ซื่อสัตย์ อย่าทำผิดกฎหมาย อย่าระแวงกันเอง อย่าทิ่มแทงหลังกันเอง

“คนที่จะทำร้ายรัฐบาลได้ที่น่ากลัวที่สุดก็คือคนในรัฐบาล แต่ใครอยากจะทำก็ทำ แต่ไม่ใช่พรรคภูมิใจไทย” นายอนุทินกล่าวย้ำ

 

จุดตายรัฐบาล ที่มาจากภาวะ “ป้อมค่ายแตกจากภายใน” นี้เอง

ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ต้องรีบแก้ปัญหาขัดแย้งภายในรัฐบาลและพรรคร่วม อย่างที่นายจุรินทร์และนายอนุทินเตือน

และเลือกใช้โมเดลเดียวกับการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของ 3 ป. ผ่านเมนู “กุ้งทอดกระเทียมพริกไทย”

โดย พล.อ.ประวิตรในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ รับเป็นเจ้าภาพเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ไปร่วมรับประทาน “ดินเนอร์” กับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลไม่ว่าประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา ที่สโมสรราชพฤกษ์ กรุงเทพฯ เมื่อค่ำวันที่ 8 มีนาคม

ซึ่งก็คงหวังเต็มเปี่ยมที่จะให้ดินเนอร์เป็นกาวใจในพรรคร่วมรัฐบาล

และหวังจะให้ “เปิบสามัคคี” ครั้งนี้ สยบ “ข่าวลือ” ต่างๆ นานา

โดยเฉพาะ “ความเป็นอื่น” ที่เกิดขึ้น

ในด้านหนึ่ง 3 ป.พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ก็มาพร้อมหน้า โชว์ “ภาพ” ความเป็นพี่น้องที่เหนียวแน่น

และย่อมหวังต่อสัมพันธ์ให้ทอดยาวไปถึงพรรคร่วมรัฐบาลอื่นว่ายังเป็นหนึ่งเดียว

พร้อมๆ กับดูเหมือนจะปิดล้อมพรรคเศรษฐกิจไทยของ ร.อ.ธรรมนัสให้โดดเดี่ยวไปในตัวด้วย

โดดเดี่ยวด้วยคำยืนยันของ พล.อ.ประวิตรในช่วงดินเนอร์ว่า พรรคเศรษฐกิจไทยยังหนุนรัฐบาล มีเพียง ร.อ.ธรรมนัสคนเดียวเท่านั้นที่เป็นอื่น

ซึ่งก็น่าสนใจว่า ร.อ.ธรรมนัสจะกำหนดท่าทีและมีความเห็นอย่างไรต่อ “ดินเนอร์” ครั้งนี้

จะสยบยอมหรือต่อรองเพื่อขอมีจุดยืนในรัฐบาลต่อไป

ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์อาจจะรอมชอม ยอมให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี ดึงเอาคนกลางที่รับได้ทั้งสองฝ่ายเข้ามาอยู่ในคณะรัฐมนตรี เพื่อที่รัฐนาวาจะได้ไปต่อ

 

หรือเอาเข้าจริงแล้ว กรณีกุ้งทอดกระเทียมพริกไทย และเปิบสามัคคีที่สนามราชพฤกษ์ครั้งนี้จะเป็นเพียงการสร้างภาพเพื่อกลบเกลื่อนรอยร้าวเท่านั้น

เพราะถึงที่สุด 3 ป.ก็อาจยังไม่หวนกลับคืนแนบแน่นเช่นเดิม เพราะปัญหาในพรรคพลังประชารัฐก็ยังไม่ได้สะสาง

ขณะที่พรรคการเมืองใหม่ๆ ที่พร้อมจะเป็นฐานให้ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังคงเดินหน้าต่อ

ส่วน ร.อ.ธรรมนัสก็พร้อมจะขยายผล “พรหมพินาศ 4” กระทบชิ่งใครบางคนต่อไป

ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอื่น ก็ดำรงผลประโยชน์แห่งตนเป็นที่ตั้ง

สถานการณ์ขณะนี้พัฒนาไปไกลเกินกว่าจะแก้ไขด้วย “ภาพ” สามัคคีเท่านั้นแล้ว