เครื่องเสียงรถยนต์ใน Luxury Car (2จบ) / เครื่องเสียง : พิพัฒน์ คคะนาท

เครื่องเสียง

พิพัฒน์ คคะนาท

[email protected]

 

เครื่องเสียงรถยนต์

ใน Luxury Car (2จบ)

 

อย่างที่บอกเที่ยวก่อนนั่นแหละครับ ว่าช่วงสองสามปีที่ผ่านมามีค่ายรถหรู ทั้ง Luxury Car และ Super Car กับแบรนด์เครื่องเสียงระดับ Hi-End และ Super Hi-End หันมาจับมือเป็นพันธมิตรกันมากขึ้น นัยว่าเพื่อเป็นการเสริมภาพลักษณ์ซึ่งกันและกันให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น อันนำมาซึ่งมูลค่าทางด้านการตลาดที่เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นค่ายในยุโรปทั้งรถและระบบเสียง

แต่ก็มีบ้างเหมือนกันครับ ที่ค่ายรถหรูทางยุโรปหันไปจับมือกับค่ายเครื่องเสียงระดับแถวหน้าของวงการทางฝั่งอเมริกา

อย่างล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ค่ายรถหรูจากเมืองเบียร์อย่าง Audi ประกาศจับมือเป็นพันธมิตรกับค่ายเครื่องเสียงทางฝั่งอเมริกา ที่โดดเด่นและมีชื่อมาร่วมสองทศวรรษทางด้านระบบเสียงแบบ Multi-Room รวมทั้งระยะหลังๆ ขึ้นชื่อมากในเรื่องของระบบเสียงแบบไร้สาย ทั้งในแง่ของ Wireless Speaker และ Home Sound Systems นั่นก็คือค่าย Sonos Inc. ซึ่งผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของเขาเป็นที่รู้จักกันดีภายใต้ชื่อแบรนด์ Sonos นั่นเอง

Sonos เพิ่งจะหันมารับงานติดตั้งระบบเสียงในรถยนต์เป็นครั้งแรกให้กับค่ายรถเยอรมนี โดยวางระบบให้กับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Audi Q4 e-Tron ด้วยการใช้ทักษะที่โดดเด่นด้านระบบเสียงไร้สายผ่านชุดลำโพงที่ทำงานในแบบไร้สายทั้งหมด

โดยมีให้เลือกสองซิสเต็มด้วยกัน

 

ซิสเต็มแรกเป็นระบบมาตรฐาน ใช้ลำโพงทั้งหมด 8 ตัว นับรวมทั้งลำโพงเซ็นเตอร์และสับ-วูฟเฟอร์ด้วย ลำโพงทั้งหมดทำงานร่วมกับภาคขยายเสียงที่ให้กำลังขับ 180W

ส่วนอีกระบบเรียกว่า Sonos Premium Sound System ชุดนี้ใช้ลำโพงทั้งหมด 10 ตัว โดยระบบนี้มีภาคขยายเสียงสองชุด ชุดแรกทำงานร่วมกับลำโพงทวีตเตอร์สี่ตัว และลำโพงเซ็นเตอร์ โดยทำงานอยู่บนแพลตฟอร์มที่ใช้ควบคุมสาระและความบันเทิง (Infotainment Platform) ของระบบทั้งหมด

ขณะที่ภาคขยายเสียงอีกชุดนั้น ติดตั้งเอาไว้ที่ตอนหลังของรถบริเวณเก็บสัมภาระ (ใต้ฝากระโปรงหลังนั่นแหละครับ) เป็นภาคขยายเสียงแบบ 8-แชนเนล ทำหน้าที่ขับลำโพงเบสสี่ตัว และสับ-วูฟเฟอร์ด้วย

โดยภาคแอมปลิไฟเออร์ทั้งสองให้พลังขับรวมกัน 580W

หัวใจสำคัญของระบบคือสิ่งที่ Sonos เรียกว่า Sonamic Panorama Algorithm ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาโดยสถาบัน Fraunhofer ในกรุงมิวนิก ซึ่งทำหน้าที่กำหนดการทำงานของแหล่งกำเนิดเสียงให้รังสรรค์เวทีเสียงออกมาอย่างเสมือนจริงในรูปแบบตัว U หรือ Virtual U-Shape Soundstage เพื่อให้ขณะที่นั่งฟังอยู่ภายในรถนั้น มีความรู้สึกเสมือนนั่งอยู่กลางการแสดงจริงๆ ซึ่งเป็นการใช้มาตรฐานการบันทึกเสียงแบบสเตอริโอมารังสรรค์ให้เกิดบรรยากาศเสียงแบบสามมิติ (3-Dimension Surround Sound) อย่างสมจริง

ซึ่งจากการทดลองฟังเพื่อเปรียบกันระหว่างระบบเสียงมาตรฐาน กับระบบเสียงแบบพรีเมียมนั้น พบว่าระบบพรีเมียมให้คุณภาพเสียงที่เหนือกว่า แต่ละเส้นเสียงถูกนำเสนอออกมาอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา และมีโฟกัสที่แม่นยำมาก

ขณะที่ระบบมาตรฐานนั้นให้ภาพรวมของเสียงออกจะคลุมเครืออยู่สักหน่อย

กล่าวโดยรวมแล้วชุดพรีเมียมให้น้ำเสียงออกมาได้น่าตื่นเต้นและชวนฟังมากกว่า

 

และที่ควรพูดถึงประการหนึ่งก็คือ ระบบเสียงของ Sonos ใน Audi Q4 e-Tron นี้ บ่งบอกบุคลิกเสียงที่เป็นคุณลักษณะของลำโพงไร้สายออกมาให้สัมผัสได้อย่างชัดเจนมาก

ซึ่งนั้นคือสิ่งที่น่าทึ่งมากเพราะเมื่อคราวที่ใครต่อใครได้ยิน ว่า Sonos กำลังจะก้าวเข้ามาในยุทธจักรนี้ ต่างก็สงสัยกันว่าจะสามารถรักษามาตรฐานของลำโพงไร้สายที่ทำเอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชมเหมือนที่ผ่านมา กับลำโพงใช้งานในบ้าน ตลอดจนลำโพง Multi-Room หรือไม่ เพราะต้องพบกับสภาพแวดล้อมใหม่ ข้อจำกัดและความท้าทายใหม่ๆ

ซึ่งคำตอบที่ได้จากที่ได้สัมผัสกับคุณภาพและคุณลักษณะเสียงใน Audi Q4 e-Tron มันบ่งบอกให้รู้ว่า Sonos ได้ทำการบ้านในเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี ดีพอที่จะบอกได้ว่าแม้จะเป็นครั้งแรกที่กระโดดเข้ามาในวงการนี้ แต่ Sonos ก็ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์

เป็นความสำเร็จที่นำมาซึ่งข่าวคราวที่ว่าในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะได้เห็นระบบเสียงของ Sonos ใน Audi A1, Q2 และ Q3 ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมาก

ที่เห็นในภาพคือ Audi Q4 e-Tron กับตำแหน่งที่ติดตั้งลำโพงต่างๆ พร้อมแอมป์ 8 แชนเนล

 

มาดูรถค่ายกระทิงเปลี่ยว Lamborghini คู่ปรับตลอดกาลของม้าลำพอง Ferrari ค่ายรถสัญชาติมะกะโรนีด้วยกัน – กันบ้างครับ, ว่ารถค่ายกระทิงนั้น ใส่ระบบเสียงอะไรของใครเข้าไป ซึ่งพบว่า Lamborghini Urus (ที่ทางค่ายอ้างว่าเป็นรถ SSUV : Super Sport Utility Vehicle คันแรกของโลก) ได้ใช้บริการระบบเสียงของค่ายหรูอย่าง B&O หรือ Bang & Olufsen ของเดนมาร์ก โดยชุดที่นำมาติดตั้งเพื่อความบันเทิงในรถรุ่นนี้ คือ B&O Premium Advanced 3D Sound System ครับ

โดยทั้งระบบประกอบไปด้วยชุดลำโพง 21 ตัว กับแอมปลิไฟเออร์ที่ทำงานใน Class-D แบบ 21 แชนเนล ให้พลังขับรวมมากถึง 1,700W ขณะที่ตัวรถให้กำลังสูงสุดถึง 650 แรงม้า เรียกว่าใส่มาให้ไม่แพ้กันเลย

เพราะใครที่ได้ฟังบอกว่าเป็นระบบเสียงที่เหมาะกันกับเครื่องยนต์ 4.0L-V8 ของรถรุ่นนี้ยิ่งนัก

โดยสามารถสร้างภาพลักษณ์ของเสียง หรือให้ Stereo Image ออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก ทั้งยังเป็นน้ำเสียงที่สัมผัสได้ถึงความประณีตในการถ่ายทอดออกมา ละเอียดอ่อน ชัดเจน และเปี่ยมไปด้วยพลัง ทั้งยังออกแบบระบบสาระความบันเทิงต่างๆ ให้ใช้งานได้อย่างง่ายดาย

เช่นกันกับฝีมืองานติดตั้งที่ประณีตและพิถีพิถันมาก โดยเฉพาะชุดทวีตเตอร์ที่ติดตั้งเอาไว้ตรงแผงแดชบอร์ด ซ้าย/ขวา ที่ยามปกติจะถูกซ่อนโดยฝังตัวกลืนเข้าไปในแดชบอร์ด ต่อเมื่อกดปุ่มสตาร์ตรถนั่นละ จึงจะเลื่อนโผล่ขึ้นมาให้เห็นพร้อมความโดดเด่นของ Acoustic Lens ซึ่งนอกจากจะแลดูสวยงามแล้ว ยังถูกออกแบบให้ช่วยในการกระจายเสียงออกมาครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างถึง 180 องศา

ภาพรวมของเสียงเปี่ยมไปด้วยพลัง ให้ออกมาได้อย่างเร้าใจ ขณะเดียวกันก็เป็นน้ำเสียงที่เพรั่งพร้อมไปด้วยรายละเอียด ให้อิมเมจที่ยอดเยี่ยมอย่างเหนือชั้นมาก

 

มีรถหลายค่ายนะครับที่ใช้ระบบเสียงของ B&O อาทิ Ford Fiesta, บางรุ่นของ Mercedes-Benz, Audi เองก่อนหน้ามาจับมือกับ Sonos ก็ใช้บริการระบบเสียงของค่ายนี้ รวมทั้งรถของเจมส์ บอนด์ อย่าง Aston Martin ด้วย

โดยที่ติดตั้งให้กับรถเจ้าของรหัส 007 คือเครื่องในตระกูล B&O BeoSound DB11 ซึ่งเป็นรหัสเดียวกับรุ่นรถ Aston Martin DB11 ทั้งซิสเต็มประกอบด้วยชุดลำโพง 13 ตัว ทำงานกับภาคขยาย BeoCore Amplifier ที่ร่วมกันรังสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างงดงามภายในห้องโดยสาร ชนิดที่เสียงคำรามของเครื่องยนต์ V12 มิอาจแผ้วพานหรือไปลดทอนประสิทธิภาพของมันได้เลย

นับเป็นหนึ่งในระบบเสียงติดรถยนต์ของ B&O ที่ทรงพลังมากจริงๆ

ครับ, ก็นำมาเล่าสู่กันฟังพอเป็นกระสายตามประสา – ที่เห็นและเป็นไป, อะไรแถวๆ นั้น •