ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 มีนาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | คุยกับทูต |
เผยแพร่ |
รายงานพิเศษ
ชนัดดา ชินะโยธิน
คุยกับทูต ระห์หมัด บูดีมัน
สัมพันธ์อินโดฯ-ไทย
72 ปี แห่งความเข้าอกเข้าใจ (1)
ถัดจากพันธุ์ทิพย์พลาซ่าบนถนนเพชรบุรี ไม่ไกลจากสยามพารากอน เป็นที่ตั้งของอาคารโอ่อ่างดงามหลายหลัง ภายในมีบริเวณกว้างใหญ่ นอกจากพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นสนามฟุตบอลแล้ว ยังมีสนามเทนนิส สนามกีฬาในร่ม สระว่ายน้ำ และสระน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยฝูงปลาใหญ่น้อยสี่พันกว่าตัว รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ
ณ ที่นี้ คืออาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียและอาคารที่พำนักอย่างเป็นทางการของเอกอัครราชทูต
นายระห์หมัด บูดีมัน (HE. Mr. Rachmat Budiman) ซึ่งเดินทางมาดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2021
กล่าวถึงจุดประสงค์ในการทำงานว่า
“อินโดนีเซียและไทยเป็นมิตรแท้ที่มีความสนใจและเป้าหมายร่วมกันในการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ในขณะเดียวกันก็สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประชาชนด้วย”
“จากการที่ทั้งสองประเทศมีศักยภาพและโอกาสมหาศาล ผมจึงกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนเพื่อให้ประสบความสำเร็จในระหว่างที่เป็นเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำราชอาณาจักรไทยตามที่ได้รับการแต่งตั้ง”
“เริ่มจากภาคเศรษฐกิจ มุ่งส่งเสริมการส่งออกของเรามายังประเทศไทย เพื่อให้เรามีการค้าที่สมดุลกันมากขึ้น ทั้งยังเพิ่มการลงทุนแบบสองทางอีกด้วย การส่งเสริมการทูตเชิงเศรษฐกิจ จึงเป็นหนึ่งในความสำคัญสูงสุดในช่วงที่ผมดำรงตำแหน่งนี้”
“การเพิ่มการเชื่อมต่อกับผู้คน ก็จะนำไปสู่ความเข้าใจระหว่างกันที่ดีขึ้น สามารถทำได้โดยการเพิ่มจำนวนนักเรียนแลกเปลี่ยน การให้ทุนการศึกษา และการส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมของเราต่อคนไทยโดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่”
“การปกป้องพลเมืองของเราที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์ของผม โดยสถานทูตของเรามุ่งมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนชาวอินโดนีเซียที่ต้องการความช่วยเหลือ”
ความประทับใจหลังอยู่ที่กรุงเทพฯ มากว่าหนึ่งปีแล้ว
“ผมมาเยือนประเทศไทยบ่อยครั้ง ก่อนได้รับมอบหมายให้เป็นเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศที่สวยงามแห่งนี้ นอกเหนือจากวัฒนธรรมแล้ว สิ่งที่ทำให้เกิดความประทับใจมากที่สุดคือ ผู้คนที่เป็นมิตร ภูมิทัศน์ที่สวยงาม และอาหารรสเลิศ” นายระห์หมัด บูดีมัน เล่า
“ประเทศไทยได้ชื่อว่า เป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม ซึ่งผมคิดว่า เป็นคำอธิบายประเทศไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในสายตาของประชาคมระหว่างประเทศ ไม่มีใครสงสัยความงดงามในภูมิทัศน์ของประเทศไทยที่มีหาดทรายขาวสะอาด เกาะที่สวยงาม และป่าไม้อันเขียวชอุ่ม”
“อินโดนีเซียและไทยมีความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมที่ใกล้ชิด เรามีพิธีการตามประเพณีที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูเก็บเกี่ยวที่เพื่อนบ้านแสดงความเอื้ออาทรต่อกันด้วยการช่วยเหลือเพื่อนบ้านที่ขัดสน เราได้จัดทำความตกลงด้านสังคมและวัฒนธรรม ทั้งยังมีการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรมและสม่ำเสมอ”
“ในด้านอาหาร ผลไม้และผักเกือบทั้งหมดที่ปลูกในประเทศไทย สามารถพบเจอในประเทศอินโดนีเซีย เช่นเดียวกับอาหารพื้นบ้านที่นี่ ก็แสนอร่อยจนยากจะลืมเลือน ดังนั้น ผมจึงรู้สึกเหมือนอยู่ในประเทศบ้านเกิดของตัวเอง”
อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับสี่และเป็นประชาธิปไตยที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก นอกจากนี้ ยังเป็นบ้านของชาวมุสลิมจำนวนมากที่สุดในโลก
เสรีภาพทางศาสนามีความสำคัญต่อประเทศอินโดนีเซียอย่างไร
“อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีชาวมุสลิมมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีศาสนาที่ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญแห่งชาติ 6 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ นิกายโรมันคาทอลิก ศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ และลัทธิขงจื๊อ”
“เสรีภาพในการนับถือศาสนาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอินโดนีเซียอย่างแท้จริง ตามที่ได้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญของเรา ซึ่งให้หลักประกันเสรีภาพในการนับถือศาสนาและสิทธิในการเคารพบูชาตามความเชื่อของตนเอง มาตรา 29 ของรัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจนว่า :
(1) รัฐจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว
(2) รัฐรับประกันเสรีภาพในการเคารพบูชาของทุกคน โดยแต่ละคนเป็นไปตามศาสนาหรือความเชื่อของตน”
“หลักการข้อแรกของอุดมการณ์หรือปรัชญาแห่งรัฐของอินโดนีเซีย คือ ปัญจศีล หรือปันจาซีลา Pancasila (หลักการ 5 ประการ) ประกาศความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวในทำนองเดียวกัน”
“รัฐธรรมนูญและอุดมการณ์แห่งชาติอินโดนีเซียได้รับการกำหนดโดยบิดาผู้ก่อตั้ง (founding father) ของเราเมื่อ 76 ปีที่แล้ว ซึ่งเรายังคงรักษาค่านิยมเหล่านี้และปฏิบัติตามหลักการในสังคมของเรามาจนถึงทุกวันนี้”
รัฐธรรมนูญของประเทศอินโดนีเซียมีขึ้นตั้งแต่ สิงหาคม ค.ศ.1945 (Undang-Undang Dasar Republik Indonesia 1945, UUD ’45) เมื่ออินโดนีเซียถูกรุกรานจากญี่ปุ่นและการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา กลายมาเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ มีการกำหนดให้ใช้ตามหลักปัญจศีล (Pancasila) เป็นหลักที่สำคัญ 5 ประการที่เป็นปรัชญาแห่งรัฐของอินโดนีเซียโดยอดีตประธานาธิบดีซูการ์โน คือ
1) ความเชื่อในพระเจ้าสูงสุดเพียงพระองค์เดียว
2) มีหลักมนุษยนิยม คือมีความเที่ยงธรรมและเป็นมนุษยที่มีอารายะ
3) ชาตินิยมแห่งความเป็นอินโดนีเซีย
4) หลักการแห่งประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยของปวงชน
5) ความยุติธรรมในสังคมสำหรับชาวอินโดนีเซียทั้งหมดโดยเท่าเทียมกัน
อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียนและมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป้าหมายของอินโดนีเซียในการร่วมมือกับพันธมิตรในภูมิภาคเป็นอย่างไร
เอกอัครราชทูตระห์หมัด บูดีมัน สรุปว่า
“อินโดนีเซียมองว่า อาเซียนยังคงมีความเกี่ยวข้องและสามารถตอบสนองต่อความท้าทายใหม่ๆ ในภูมิภาคและของโลกได้”
“อินโดนีเซียจะพยายามเสริมสร้างความเป็นศูนย์กลางและความแข็งแกร่งของอาเซียน อาเซียนต้องเดินหน้าสร้างประโยชน์ต่อประชาชน ตลอดจนนำสันติภาพ สวัสดิการ และความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ภูมิภาค”
“อินโดนีเซียจะส่งเสริมให้อาเซียนเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันในฐานะส่วนสำคัญของการอภิปรายเกี่ยวกับ วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนหลังปี 2025”
“อาเซียนต้องพยายามต่อไปเพื่อสร้างประชาคมอาเซียนและรักษาภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกให้มั่นคง และเจริญรุ่งเรือง”
“ดังนั้น อาเซียนจึงต้องมีบทบาทดั่งสมอเรือ เพื่อความมั่นคง สันติภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกต่อไป” •