คำตอบไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้าน (จบ) / ท่าอากาศยานต่างความคิด : อนุสรณ์ ติปยานนท์

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]

 

คำตอบไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้าน (จบ)

 

ความตายในชนบทนั้นมาถึงพร้อมกับเสียงอึกทึก ความตายในชนบทนั้นไม่ได้สงบเงียบ ไม่ได้เต็มไปด้วยความเงียบงัน หากแต่โด่งดัง เรียกร้องและป่าวประกาศตน

ความตายในชนบทคือเสียงแห่งอำนาจที่ตวาดก้องให้ทุกคนได้หันไปเหลียวมอง

คืนหนึ่งในฤดูร้อนก่อนเทศกาลสงกรานต์ไม่นานนัก ผมตื่นขึ้นในที่พักด้วยเสียงดังคล้ายดังเสียงลั่นกระสุนปืน เป็นเสียงที่ไม่ไกลจากผมนัก หลังล้างหน้าล้างตา ผมผลักประตูบานเฟี้ยมออกพอเป็นช่องให้แทรกตัวออกไปได้ก่อนจะเดินตรงไปยังบ้านของพี่ต่อ หากจะมีใครที่ให้คำตอบถึงที่มาของเสียงดังกล่าวได้ก็น่าจะเป็นพี่ต่อเท่านั้นเอง

ที่หน้าบ้านพี่ต่อยืนอยู่เหมือนดังจะรับรู้การมาเยือนของผม ชายผู้ไม่เคยเห็นคุณค่าของเสื้อและพอใจแต่จะใช้ผิวหนังของตนเองเป็นเครื่องแต่งกายท่อนบนขยับตัวเดินมาหาผมก่อนจะเอ่ยว่า

“มีคนตายพี่ต้น ลุงที่อยู่บ้านติดถนนใหญ่ทางไปไปรษณีย์แกตาย พี่ต้นน่าจะได้ยินเสียงปืน เขายิงแจ้งคนในหมู่บ้านว่ามีคนตาย ธรรมเนียมของที่นี่”

ผมพยักหน้ารับ “และที่อื่นเขาทำแบบนี้ไหมพี่ต่อ เขายิงปืนแจ้งหรือเปล่า?”

“ไม่รู้สิพี่ นอกจากไปติดทหารที่ลพบุรีแล้ว ผมไม่เคยไปอยู่ที่อื่นเลย”

 

คําตอบของพี่ต่อไม่ใช่เรื่องเกินจริง พี่ต่อเกิดและเติบโตที่นี่ ที่บ้านโนนบุรี และนอกเหนือจากการไปใช้ชีวิตเพื่อรับใช้ชาติแล้ว พี่ต่อไม่เคยไปไหนเลยหรืออยากไปไหนเลย

ในบ้านไม้ผุพังเก่าแก่ที่โย้เย้เสียจนว่ามันอาจถล่มทลายลงมาได้ในวินาทีใดก็ตาม พี่ต่อกลับมีความสงบสุขเยือกเย็นอยู่ในบ้านหลังนั้น

ในบ้านไม้ที่ปราศจากทั้งไฟฟ้าและประปา พี่ต่อกลับมีความรื่นรมย์อยู่ในนั้น ผมยกวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องหนึ่งที่เคยซื้อหามาให้พี่ต่อเมื่อหลายเดือนก่อนและมันกลายเป็นอุปกรณ์ความสุขที่ใครๆ คงอิจฉา

ทุกเช้าพี่ต่อจะหมุนคลื่นไปจนถึงช่องโปรดและเปิดเพลงลูกทุ่งกล่อมใครต่อใครที่เดินผ่านหน้าบ้านมาโดยมีพี่ต่อเอนกายฟังอย่างเพลิดเพลิน

ผมเคยมีโอกาสได้รับเกียรติให้เข้าไปเยี่ยมชมภายในบ้านพี่ต่อครั้งหนึ่ง นอกเหนือจากเตียงไม้ที่ขาของมันดูง่อนแง่นและฟูกนอนรวมด้วยอุปกรณ์หุงหาอาหารที่จำเป็นอย่างเตาถ่าน กระทะ ตะหลิวและจานข้าวแล้ว พี่ต่อดูจะมีสิ่งสะสมเพียงสามสิ่งที่จับต้องได้ในนั้น

สิ่งแรกได้แก่ เบ็ดตกปลาซึ่งวางเรียงรายอยู่ตามฝาผนัง

สิ่งที่สองได้แก่ กีตาร์ตัวเดียวที่แกใช้เล่นเพลง “เดินตามควาย” ทุกค่ำคืน

และสิ่งที่สามนั้นได้แก่ มอเตอร์ไซค์ที่เบาะหายไปกว่าครึ่งและกระจกหน้าเหลือเพียงข้างเดียว

สภาวะอันสมถะและมีความสุขล้นเหลือในโลกส่วนตัวเช่นนี้ของพี่ต่อทำให้พี่ต่อดูจะไม่อนาทรหรือไยดีกับการมีครอบครัวนัก แต่จะว่าพี่ต่อไม่เคยมีความรักคงไม่ได้

ครั้งหนึ่งผมเคยถามพี่ต่อถึงเรื่องที่ว่านี้จึงได้รู้ว่าแกเคยมีความรักก่อนจะพลัดพรากกันไปเพราะพ่อแม่ฝ่ายหญิง

 

“พี่ต่อจำรักแรกของตนเองได้ไหม?”

“จำได้สิพี่ ใครจะจำไม่ได้”

“เป็นใครล่ะ?”

“สาวแถวโนนปลาขาวนี่แหละ เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที”

“แล้วไปรักชอบเขาอย่างไร?”

“ไม่ได้อย่างไร ก็ไปหาเขาที่บ้าน นั่งคุยกับเขาไป”

“แล้วราบรื่นไหมพี่?”

“ไม่ราบรื่นเลย พ่อเขาหวงมากพี่ ผมไปถึงบ้าน พ่อเขาจุดเทียนเล่มหนึ่ง บอกพวกมึงคุยกันไป เทียนดับต้องกลับ ห้ามเกินกว่านั้น”

“พี่ก็คุยไปใช่ไหม กี่เดือนล่ะ?”

“ไม่กี่เดือน สองสามเดือนมั้ง ผมก็ติดทหาร ตอนติดทหารก็ได้ข่าวว่าเขาเอาผัวไปแล้ว ก็เลยตัดใจ”

“พี่ยังจำหน้าเขาได้หรือเปล่า สวยไหม?”

“จำไม่ได้แล้วพี่ ผมจำได้แต่แสงเทียน”

 

ความทรงจำดังกล่าวนั้นดูเหมือนจะเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงให้ชีวิตของพี่ต่อนับจากวันนั้นดำรงไปอย่างมีความสุข และแทบไม่เคยได้ยินถึงการขบคิดถึงความตายของพี่ต่อ แม้ว่าพี่ต่อจะบอกผมว่าคนชนบทนั้นตายเพราะโรค “รา” สองโรคเป็นหลัก คือไม่โรค “ชรา” ก็โรค “สุรา” แต่พี่ต่อผู้ดื่มจัดเกินกว่าปกติก็ไม่มีวี่แววว่าจะป่วยไข้ด้วยโรคดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น บทสนทนาในคืนนั้นหลังเสียงปืนจึงเป็นบทสนทนาที่มีถึงความตายเป็นครั้งแรกของเรา

“แล้วเขายิงปืนบอกข่าวคนก็จบเลยหรือพี่?” ผมถามพี่ต่อ

“ไม่สิ พวกญาติเขาจะเตรียมตัวหาโลง เตรียมพื้นที่ในบ้านสำหรับจัดงาน เตรียมอาหาร เตรียมนั่นนี่ ส่วนคนอื่นก็จะเตรียมไปช่วยงานในวันพรุ่งนี้ พี่ต้นก็ไปฟังสวดกับผมก็ได้ เขาน่าจะเริ่มตอนเย็น ตอนนี้ก็พักผ่อนไปก่อน”

“ที่นี่เขาไม่จัดงานที่วัดกันหรือ?” ผมยังไม่หยุดสงสัย

“เขาจัดที่บ้านมันสะดวกกว่า ถึงวันเผาค่อยย้ายร่างคนเสียชีวิตไปที่วัด อันนั้นมันจะมีทั้งงานเลี้ยงงานอะไร จัดที่บ้านจะดื่มจะทำอะไรเล่นไฮโล เล่นหมากรุกมันง่าย ไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่อย่างผมนี่ถ้าตายคงจัดที่บ้านไม่ได้แน่ คนมาบ้านก็คงไม่เยอะ แต่บ้านน่าจะพัง” พี่ต่อหัวเราะ

“พี่ต่อไม่ตายง่ายๆ หรอก แข็งแรงขนาดนี้” ผมเถียง

“ไม่หรอกพี่ ผมรู้ตัวเองดี ผมน่าจะอยู่อีกไม่นาน อ้อ ถ้าผมไม่อยู่แล้ว กีต้าร์ของผม ผมยกให้พี่นะ”

“พี่ต่อยังอยู่อีกนาน ไม่ไปง่ายหรอก” ผมยืนยัน

“ไม่นานพี่ ผมรู้ตัวดี กีตาร์ผม ผมยกให้พี่”

“ผมเล่นไม่เป็น จะเอาไปได้ไง พี่ต่อเก็บไว้เล่นเถอะ”

“ถ้าผมยังอยู่ ผมก็เล่นพี่ แต่ถ้าผมไม่อยู่ พี่เอาไปนะ ผมไม่มีอะไรให้พี่ไว้ดูต่างหน้า ผมยกให้พี่นะ กีตาร์ของผมตัวนี้”

“โอเค แต่พี่ยังอยู่อีกนาน เชื่อผมเถอะ”

 

ผมกลับเข้าบ้านไปพักผ่อนในคืนนัน ไม่มีความเฉลียวใจใดๆ ทั้งสิ้นว่าชายผู้ปราศจากความกังวลนามพี่ต่อกำลังบ่งบอกถึงการยอมรับความจริงบางอย่าง พี่ต่อจะป่วยด้วยโรคอันใดบ้างนั้นผมแทบไม่เคยล่วงรู้เพราะสีหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มตลอดเวลาของแกไม่เคยแสดงอาการใดๆ

พีธีศพอันเรียบง่ายในหมู่บ้านผ่านไปสามวัน และแล้วทุกอย่างก็กลับไปเป็นดังเดิม ผมกับพี่ต่อพบตนเองอยู่ที่ร้านชำในอำเภอ ใช้ชีวิตท่ามกลางมุขตลกไม่รู้จบของชายเจ้าของร้านจนเวลาผ่านไปนานนับเดือน ผมเองก็หลงลืมคำสั่งเสียดังกล่าวของพี่ต่อ จนวันหนึ่งในขณะที่ผมกำลังลงมาทำงานที่กรุงเทพฯ สายโทรศัพท์ของรุ่นน้องผู้เป็นเจ้าของที่พักก็ดังขึ้น

“พี่ พี่ต่อเสียแล้วนะ”

“เป็นไปได้อย่างไร” ผมแย้ง “ตอนลงมาแกยังดีๆ อยู่เลย”

“จริงพี่ ชาวบ้านบอกแกไปกินเหล้าตอนกลางคืนที่ศาลากลางหมู่บ้านและก็หลับไป มีคนไปเจอแกตอนเช้าแต่ก็เสียไปแล้วหลายชั่วโมง”

 

ผมจับรถโดยสารกลับกาฬสินธุ์ในวันนั้น ค่ำดังกล่าวผมไปที่วัดประจำหมู่บ้าน ร่างของพี่ต่อสงบอยู่ในโลง มีคนมาร่วมงานของแกนับนิ้วไม่ถึงสิบคน นอกจากน้าแกผู้เป็นเจ้าของร้านชำแล้ว คนอื่นเป็นคนในหมู่บ้านที่ผมไม่คุ้นเคย

น้าเจ้าของร้านชำในวันนี้ไม่มีมุขตลก แกเล่าว่าพี่ต่อจากไปอย่างสงบ นอนหลับตายิ้มอย่างมีความสุข แม่พี่ต่อกำลังกลับมาจากต่างประเทศ และคงมีแขกจำนวนไม่มากกว่านี้

แม้ว่าพี่ต่อจะเป็นคนที่ใครต่อใครรู้จัก แต่แกก็ปราศจากความสำคัญใดๆ ผมมองไปรอบศาลาที่ทำพิธี นอกจากเครื่องใช้ส่วนตัวเล็กน้อยของแกแล้ว ก็มีเพียงวิทยุ เบ็ดตกปลา กีตาร์และรถมอเตอร์ไซค์ของแกจอดอยู่

“วันเผาคนคงเยอะกว่านี้ คุณไหว้ศพแล้วมานั่งกับผมได้ อ้อ กีตาร์ตัวนั้นต่อมันพูดกับผมเสมอว่ายกให้คุณ อย่าเผาไปด้วย ส่วนรถมอเตอร์ไซค์เห็นแม่เขาว่าจะถวายให้ที่วัดนี้”

ผมกราบศพของพี่ต่อ กราบลามิตรผู้เอื้ออารีด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย น้ำตาไหลออกมาแบบกลั้นไม่อยู่ พี่ต่อคาดเดาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ด้วยใจบริสุทธิ์ บ้านแกไม่เหมาะสำหรับจัดงาน คนคงมาร่วมงานเพียงน้อย

และกีตาร์คงเป็นสิ่งเดียวที่อยากให้ใครบางคนรักษาไว้

 

ในวันเผา พระสี่รูปลงมาสวดทำพิธี

เมื่อสิ้นเสียงสวด ร่างของพี่ต่อก็ถูกส่งเข้าไปในเตาเผา ควันไฟลอยออกจากปล่อง ผู้คนทยอยกลับบ้าน

บ่ายวันนั้นผมหยิบกีตาร์ของพี่ต่อติดมือออกจากวัดมาก่อนจะวางมันลงที่แคร่หน้าบ้าน

ชีวิตของผมในหมู่บ้านแห่งนี้ปิดฉากลงหลังจากวันนั้น ไม่มีบุรุษผู้ทระนงคนนั้นอีกต่อไป

ไม่มีเสียงหัวเราะแบบนั้นอีกต่อไป ไม่มีเสียงเพลง “เดินตามควาย” อีกต่อไป

ผมไม่ได้คำตอบใดเลยในการแสวงหาชีวิตจากการดำรงอยู่ที่นี่

สิ่งที่ผมได้มีเพียงแต่มิตรภาพ เป็นมิตรภาพที่งดงามและชวนจดจำไม่ต่างจากที่พี่ต่อจดจำแสงเทียนของคนรักที่ไม่เคยลืมเลือน

จบ •