หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๑๖)/บทความพิเศษ ฟ้า พูลวรลักษณ์

ฟ้า พูลวรลักษณ์

บทความพิเศษ

ฟ้า พูลวรลักษณ์

 

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๑๖)

 

ในปลายราชวงศ์ซ้อง ลี่เสีย ได้ขึ้นมาเป็นใหญ่ หรือพูดอีกทีคือ ลัทธิขงจื้อซึ่งเดิมทีเป็นปรัชญา ได้กลายร่างมาเป็นศาสนา

สมัยที่เป็นปรัชญา ยังมีมนุษยธรรม มีความนิ่มนวล และมีอารมณ์ขัน แต่พอเป็นศาสนา สิ่งเหล่านี้ก็หมดไป เพราะศาสนาที่จริงแล้วตรงข้ามกับสิ่งเหล่านี้ ด้วยเพราะมันพยายามจะยกระดับตัวเองให้สูงที่สุด จนไร้อารมณ์ขัน และสร้างภาพอุดมคติ ว่าคนเราควรเป็นอะไร จนไม่ใช่มนุษย์

จริงอยู่ภาพฝันของพวกเขาคือปราชญ์เมธี ที่มีแต่ความดี แต่ทว่า เพราะมันเป็นไปไม่ได้

มันจึงหมดมนุษยธรรม

ทุกศาสนาเป็นกับดัก แต่แตกต่างกัน ศาสนาขงจื้อก็ไม่ได้เลวร้ายกว่าศาสนาอื่น ซึ่งกักขังมนุษย์ไว้จนเกิดยุคมืดในยุโรป แต่ทว่า วันหนึ่งพวกเขาก็ดิ้นรนจนหลุดพ้นออกมาได้

ประเทศจีนในอดีตเจริญกว่ายุโรป แต่ทว่า กลับไม่มียุคฟื้นฟู พวกเขาดิ้นไม่หลุด

อย่างช้าๆ คนจีนจึงตกเป็นเบี้ยล่างชาวยุโรป

มันเริ่มต้นในราชวงศ์ซ้อง คนจีนกลายเป็นคนแคระ ๓๑๙ ปี

ตกเป็นทาสชาวมองโกล ๙๗ ปี

เข้าสู่ยุคมืดในราชวงศ์หมิง ๒๕๘ ปี

ตกเป็นทาสชาวแมนจู ๒๗๖ ปี

มันเป็นโชคร้ายซ้อนโชคร้าย เพราะจากคนแคระ กลายมาเป็นทาส วันที่ได้เป็นไท ในราชวงศ์หมิง ก็กลับเจอยุคมืดพอดี ยุคที่ปกครองด้วยคนโรคจิต ครั้งทำท่าจะดีขึ้น ก็ตกเป็นทาสอีกที คราวนี้แย่เลย เป็นทาสยาวนานยิ่งนัก

กว่าจะเริ่มตื่นอีกที ก็ต้องใช้เวลาสองร้อยกว่าปี

เข้าใจคนจีน ก็ต้องสงสารคนจีน ต้องถอนหายใจ

สมัยที่ลัทธิขงจื้อกลายเป็นศาสนา ผู้หญิงจีนยิ่งหมดสิทธิ หญิงหม้ายอดตาย ด้วยเพราะห้ามแต่งงานใหม่

มีคนถามนักปราชญ์สำนักลี่เสียว่า แล้วหากหญิงหม้ายยากจน จะทำยังไง จะหาอะไรกิน เขาตอบว่า ห้ามแต่งงานใหม่ อดตายเรื่องเล็ก ผิดจารีตเรื่องใหญ่

 

จุดอ่อนของศาสนาก็คือ

๑ ด้วยเพราะ Ideal ของมันสูงส่งเกินไป ในขณะที่มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตปานกลาง มันขัดแย้งกัน ทำให้มนุษย์กลายเป็นคนพูดโกหก กลายเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก

๒ ด้วย Ideal ของมันยาก บางครั้งมนุษย์จะเกิดปมด้อย และด้วยความซับซ้อนทางจิต เขากลับเป็นคนเลวกว่าที่ควร

๓ ด้วยเพราะสิ่งที่เขาเรียกร้องจากตัวเอง ไม่เป็นจริง ตามหลักเหตุผลเขาไม่ควรเรียกร้องจากคนอื่น แต่ทว่า ด้วยความซับซ้อนทางจิต เขากลับจะเรียกร้องจากคนอื่น อย่างแรงและโหดเหี้ยม ทั้งที่ตัวเองทำไม่ได้

หากเปรียบศาสนาเป็นต้นไม้ใหญ่ แต่ละต้นจะมีกาฝาก แล้วแต่ว่าต้นไหน จะมีกาฝากชนิดใด

แต่หากเปรียบเช่นนี้ วิทยาศาสตร์เองก็เป็นต้นไม้ใหญ่ ที่มีกาฝากเช่นกัน มีไม้พิษมาอาศัย มีหนอนและแมลง แต่ทว่า ฉันก็ยังเห็นว่า สิทธิมนุษยชน และวิทยาศาสตร์ มีความเรียบง่ายกว่า ชัดเจนในการแยกแยะ เรียบง่ายในการวางกฎหมาย และมันตอบโจทย์ที่ว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตปานกลาง ศาสนาเหมาะกับมนุษย์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่ง แต่เพราะมันขัดแย้งกัน จึงเกิดปุ่มปม เป็นเปลาะๆ ขึ้นเต็มลำต้นของต้นไม้

 

จักรพรรดิยุคก่อนประวัติศาสตร์ของจีน เช่น พวกจักรพรรดิเหลือง เงี้ยว ซุ่ง อู้ เหล่านั้น ไม่น่าจะมีความดีอะไร กว่าจักรพรรดิยุคประวัติศาสตร์ คงจะกลางๆ เสียมากกว่า

แต่ทว่า ลัทธิขงจื้อได้ไปปรุงแต่ง สร้างมายาคติ จนกระทั่งว่าคนเหล่านั้น perfect

ซึ่งการปรุงแต่งนี้ ก็ไม่อาจพิสูจน์ว่าไม่จริง ด้วยเพราะไม่มีหลักฐาน นี้คือบาปกรรมของลัทธิขงจื้อ ในการสร้างมายาคติ

เม่งจื้อ เป็นลูกศิษย์รุ่นที่สี่ของขงจื้อ เขาก็เป็นปราชญ์สำคัญคนหนึ่ง ในยุคชุนชิว การยึดมั่นในโลกอดีตของเขาหากมองจากยุคนั้น คำสอนของเขาก็ขลัง ศักดิ์สิทธิ์ แต่มองจากวันนี้ ช่างไร้สาระ ไม่มีมนุษย์คนไหนจะปฏิบัติอีกแล้ว

แต่เขาก็เป็นปราชญ์อยู่ดี ด้วยหลักคำสอนของเขา คือการให้รัฐเป็นรัฐที่ดี ใส่ใจในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน มองจากวันนี้ เขาคือเสรีนิยมยุคโบราณ ระดับสูงสุด และเป็นอนุรักษ์ตัวปู่ทวด

๑๐

แต่เขาก็มีดี แม้ในวันนี้ เม่งจื้อเป็นปราชญ์คนแรกที่พูดถึงเผด็จการ ซึ่งเขาประณามตรงๆ ในยุคโบราณ ยังไม่มีคอนเซ็ปต์นี้ ในแง่นี้ต้องชื่นชมเขา ในวันนี้เราพูดคุยถึงเผด็จการเสมอ

แต่ในยุคนั้น มนุษย์ยังไม่รู้จักสิ่งนี้เลย นึกภาพไม่ออก ต้องมีนักปราชญ์มาบัญญัติศัพท์ เผด็จการจึงเกิด

เผด็จการมีมาช้านานก่อนหน้านั้น แต่แอบแฝง หลบอยู่เบื้องหลังสิ่งมากมาย จึงไม่มีใครรู้จักมันเลย

๑๑

การมองมนุษย์ในแง่ของชนชั้น ต้องลืมความเป็นคนของพวกเขาไปเสียก่อน นี้คือความหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่ของ Marx นี้คือจุดเด่นและจุดด้อยของเขา เพราะคน เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา แต่มาร์กซ์มองข้ามสิ่งนี้ไป ถือว่าไม่สำคัญ ความเป็นชนชั้นสำคัญกว่า

มันเป็นคำโกหกที่ปฏิเสธไม่ได้ เอาชนะไม่ได้

ฉันไม่เคยเห็นคำโกหกใดจะทรงพลานุภาพกว่านี้เลย แปลกเหลือเกิน

 

๑๒

เช่นเดียวกัน ระเบิดปรมาณูก็เป็นการโกหกอันยิ่งใหญ่สุดของมนุษยชาติ มันร้ายกาจเกินคำนวณ มันเป็นการโกหก เพราะมันถูกนำเสนอด้วยความจริงเพียงครึ่งเดียว มันคือการโกหกที่ลบล้างไม่ได้ กลายเป็นความจริงที่แน่ชัด จวบจนวันสุดท้ายของมนุษยชาติ

๑๓

คนจริงๆ เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา เรามองความจริงนี้ได้จากละครน้ำเน่า โดยตัดส่วนที่เน่าออก ให้เหลือแต่สาระ เราจะเห็นว่ามนุษย์เป็นเช่นนี้จริงๆ มีความโลภ แย่งชิงอำนาจ แย่งชิงมรดก มีเมียน้อยเมียหลวง มีการหลอกลวง ทุกสิ่งจริงหมด มองดูมนุษย์ทุกคนรอบตัว เป็นเช่นนี้หมด ไม่ว่าคุณจะเป็นซ้ายหรือขวา ไม่ว่าคุณจะรวยหรือจน จะมีการศึกษาสูงเพียงไร ก็เป็นคนทั้งนั้น นี้เป็นความจริงระดับอนุภาค ย่อยมนุษย์ให้เล็กลงเท่าใด ก็มองเห็นชัดเท่านั้น

๑๔

หากเม่งจื้อเป็นเบอร์สองของขงจื้อ จวงจื้อเป็นเบอร์สองของเหลาจื้อ พวกเบอร์สองเหล่านี้ เจือจางกว่า แต่ก็สุดโต่งกว่า เข้มข้นกว่าด้วย ทันสมัยกว่า และบ้าคลั่งกว่า ไปกันใหญ่กว่า เช่นเดียวกับที่สตาลิน เมาเซตุง เป็นเบอร์สองของมาร์กซ์ พวกเขาทันสมัยกว่า และไปไกลกว่า และบ้าคลั่งกว่า ที่จริงแล้ว

นี้คือปรากฏการณ์ธรรมดาของโลก

 

๑๕

จวงจื้อ คนนี้น่าสนใจ เพราะเขาคือตัวอย่างของกวีบวกนักปราชญ์ เขาจึงแตกต่างจากเหลาจื้อ ที่เป็นนักปราชญ์อย่างเดียว

พลังคู่ในตัวของเขานั่นเอง ที่ทำให้เกิดแนวคิดของจวงจื้อ ซึ่งหลีกหนีความจริงระดับสูงสุด

หากคนธรรมดาปฏิบัติตามเขา คงเป็นบ้า หรือล้มละลาย

ประเทศใดยึดในนโยบายของเขา ก็คือสิ้นชาติ

เพราะเขาจะไม่ทำอะไรที่เป็นบวกเลย ดำดิ่งในในสภาวะกวี ซึ่งเป็นทิพย์สำหรับเขา

๑๖

ลำพังเพียงความย้อนแย้งนี้ ก็ไม่มีทฤษฎีของ Marx ใดจะแก้ได้ นี้คือความเป็นคนอย่างที่สุด ในโลกของคอมมิวนิสต์ ศิลปินจึงอยู่ยาก หายใจไม่ออก ไม่ตายสนิท แต่ก็เลี้ยงไม่โต

มีเข่งใบหนึ่งให้พวกเขาแออัดอยู่ในนั้น หายใจภายในนั้น

๑๗

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นทั้งโลก ยุคใดที่เผด็จการเรืองอำนาจ กลุ่มปัญญาชนมีเพียงสองทางเลือก หนึ่งคือต่อสู้แบบหัวชนฝา ต้องกลายเป็นผู้ก่อการร้าย หรือวิ่งไปหาเหลาจื้อ จวงจื้อ ไปหาความอบอุ่นจากศาสนา บทกวี ศิลปะ

ฉันจำได้สมัยที่ประภาส ถนอม เรืองอำนาจ ปัญญาชนมากมายที่ฉันรู้จัก หันไปเสพจวงจื้อ