คำ ผกา | วิวัฒนาการความเป็นคน ที่ไม่สมบูรณ์

คำ ผกา

สําหรับที่ไม่มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ และการเมืองยุโรปเลย จึงไม่อาจจะให้ความเห็นอะไรได้มากนักต่อวิกฤตที่รัสเซียใช้กำลังทหารโจมตี รุกรานยูเครน

แต่คิดว่า ปฏิกิริยาของสังคมไทยต่อวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนนั้นน่าสนใจและมีความเหนือจริงอย่างน่าอัศจรรย์

และในฐานะของคนที่ไม่มีความรู้เลย บรรทัดฐานที่เรียบง่ายที่สุดคือ ยูเครนเป็นประเทศที่มีเอกราชเป็นของตนเอง ไม่ใช่รัฐบริวารของรัสเซีย

ดังนั้น รัสเซียจึงไม่มีสิทธิ ไม่มีอำนาจใดๆ ในการเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในประเทศของยูเครน

โดยที่ หนึ่ง ยูเครนไม่ได้ร้องขอ

สอง ยูเครนไม่ได้มีวิกฤตความชอบธรรมของรัฐบาลที่ครองอำนาจรัฐอยู่แม้แต่น้อย ไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรง สงครามกลางเมือง ความขัดแย้งอะไรในประเทศที่อาจก่อให้เกิดการฆ่าฟันล้มตาย จนประชาคมโลกต้องเข้าไปแทรกแซง

เมื่อประเทศยูเครนเขาอยู่ของเขาอยู่ดีๆ แบบนั้น กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ประชาธิปไตยในประเทศยูเครนกำลังตั้งมั่น ลงหลักปักฐาน และกำลังจะไปได้ด้วยดี

แถมยังมีแนวโน้มว่า ยูเครนเลือกอนาคตให้กับตนเองในวิถีทางประชาธิปไตยเสรีนิยม

กับการเลือกแนวทางนี้แม้จะไม่ถูกใจรัสเซีย แต่รัสเซียพึงนั่งกัดลิ้น มัดมือมัดเท้าตัวเองไว้ ไม่ให้ลุกไปอาละวาดใส่ใครเขา เพราะเขาเป็นประเทศเอกราช มีอธิปไตยเป็นของตนเอง

เขาจะเลือกไปทางไหน มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของรัสเซียทั้งสิ้น

แต่ปรากฏว่ารัสเซียทำในสิ่งตรงกันข้าม คือไปประกาศสงครามกับเขาหน้าตาเฉย

มิไยที่ประธาณาธิบดียูเครนจะออกมาขอร้องว่า อย่าทำแบบนี้เลย มันไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น

สงครามมีแต่จะก่อให้เกิดความสูญเสีย ทางเราไม่อยากสู้รบกับใคร เราไม่เคยคิดจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับใคร

ที่ปูตินเที่ยวไปป่าวประกาศกับชาวรัสเซียว่ายูเครนต้องการทำลายวัฒนธรรมรัสเซียก็ไม่จริง

เพราะขึ้นชื่อว่าวัฒนธรรมทุกวัฒนธรรมบนโลกใบนี้ มันมีแต่จะ enrich หรือช่วยเสริมความรุ่มรวยของกันและกัน

ไม่มีวัฒนธรรมไหนไปทำลายวัฒนธรรมไหนได้หรอก – อย่ามารบราฆ่าฟันกันเลย เราไม่อยากรบ แต่ถ้ามารุกรานเรา เราก็จำเป็นต้องป้องกันตัวเอง

เพียงข้อเท็จที่เรียบง่ายเช่นนี้และไม่จำเป็นต้องโปรอเมริกาก็เพียงพอที่จะทำให้เราแสดงจุดยืนได้ว่า เรายืนอยู่ข้างเอกราชอธิปไตย และประชาธิปไตยของยูเครน

และพูดได้เต็มปากเต็มคำอีกว่า ปูตินในฐานะผู้นำรัสเซียตัดสินใจผิดพลาด รวมไปถึงสามารถแสดงความเห็นใจต่อประชาชนชาวรัสเซียที่ต้องรับเคราะห์จากการตัดสินใจที่ผิดพลาดนี้ของผู้นำตนเอง

แต่ปรากฏว่าสังคมไทยเซอร์เรียล หรือเหนือจริงกว่าที่ฉันคิดเอาไว้มาก

อันดับแรกคือ statement จากรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของไทย แทนที่จะแสดงจุดยืนบนหลักการของสันติภาพ ประชาธิปไตย กลับบอกว่าจะดีกว่าหากเราไม่เลือกข้าง

แต่ก็นั่นแหละ สำหรับประเทศที่มีหัวหน้ารัฐบาล นายกรัฐมนตรีที่เคยดำรงตำแหร่งหัวหน้าคณะรัฐประหาร จะให้พวกเขาพูดว่ายืนอยู่ข้างประชาธิปไตย และ สันติภาพ มันคงเป็นเรื่องเหลือวิสัย

และที่เซอร์เรียลไปกว่านั้นอีกคือมีความพยายามจะอธิบายว่า การประณามการรุกรานยูเครนของรัสเซียของคนไทยเกิดจากการเสพสื่อ “ตะวันตก” มากเกินไป

ไปจนถึงการเชื่อมโยงที่อัศจรรย์พันลึกว่า กลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยในไทย (ถูกเรียกว่าสามกีบ) ไม่ชอบปูตินเพราะปูตินมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสถาบันหลักที่เป็นศูนย์รวมไจของคนไทย

อ่านแล้วต้องกุมขมับ หนักที่สุด เพราะการรุกรานยูเครนของรัสเซียนั้น ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับประเทศไทย หรือใครในประเทศไทยแม้แต่คนเดียว

ทว่า โดยจุดยืนของศิวิไลซ์ชน ไม่มีใครสามารถพูดได้ว่า สิ่งที่รัสเซียทำนั้นถูกต้อง และหากประเทศไทยอยากอยู่กลุ่มของศิวิไลซ์ชน

เราไม่มีทางเลือกอื่นที่จะเป็นคนศิวิไลซ์ นอกจากปกป้องประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตย และเอกราชของยูเครน เท่านั้นเอง

เพราะการแสดงจุดยืนนี้ย่อมส่งผลต่อ “ยี่ห้อ” ของประเทศไทยในสายตาชาวโลกว่า เราเป็นประเทศอารยะ หรืออนารยะ

และการที่เราประกาศว่าเรายืนอยู่ข้างสันติภาพ ประชาธิปไตย และเอกราชของยูเครน มันไม่ได้แปลว่าเรากำลังเชียร์ยูเครน เหมือนเชียร์มวย ไม่ได้แปลว่ายูเครนเป็นเทพ รัสเซียเป็นมาร ยูเครนทำอะไรก็ถูก รัสเซียทำอะไรก็ผิด

แต่เราพึงละเว้นรายละเอียดเหล่านั้นให้เป็นงานของนักข่าว นักประวัติศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ คนศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แล้วรออ่านงานของพวกเขาเพื่อ “ทำความเข้าใจ” ไม่ใช่เพื่อเป็นผู้พิพากษาชี้ว่า ประเทศนั้นถูก ประเทศนี้ผิด

แต่สิ่งที่ถูกต้องตลอดเวลาแน่ๆ คือ ผู้ที่รุกรานคนอื่นก่อนผิด

ผู้ทำลายประชาธิปไตยในสังคมอื่นๆ ผิด

ผู้กระทำการที่เป็นภัยต่อเอกราช และอธิปไตยของผู้อื่น ผิดโดยไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอะไรมาสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง

พูดให้หยาบกว่านั้น ในโลกปัจจุบัน ใครคิดอยากริเริ่มให้มีสงครามเกิดขึ้น คนคนนั้นเป็นภัยต่อโลกทั้งใบ

และเราไม่ควรอนุญาตให้มันเกิดขึ้นในทุกกรณี

สิ่งที่ฉันเห็นว่ามันเซอร์เรียลสำหรับสังคมไทยคือ มีคนไทยเยอะมากที่กล้าแสดงความเห็นผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเปิดเผยว่า สนับสนุนการกระทำของรัสเซียบนการให้เหตุผลที่นอกจากจะฟังไม่ขึ้นแล้วยังไม่อยู่บนข้อเท็จจริง ประหนึ่งอ่านแต่ทวิตเตอร์ของไอโอรัสเซียมา หรืออ่านแต่ข่าวจากสำนักข่าวโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลปูติน

แต่ถามว่ามันเซอร์เรียลขนาดนั้นจริงไหมเมื่อเทียบกับ “ความเป็นไทย” ที่เรารู้จักดี

เมื่อมานั่งคิดว่า สังคมไทยคือสังคมที่คนจำนวนมากยินปรีดาที่เกิดการรัฐประหาร

เราอยู่ในสังคมที่คนปล้นอำนาจจากประชาชนได้รับเกียรติ ได้รับการยกย่อง

คนอย่างสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีอนุสาวรีย์ให้คนอย่างประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ได้จนจะครบแปดปี

เราอยู่ในสังคมที่จับคนประท้วง ต่อสู้กับเผด็จการไปขังคุกเป็นว่าเล่น เราอยู่ในสงคมที่ข่าวอานนท์ นำภา ได้ประกันตัวมีคนสนใจน้อยกว่าข่าวดาราตกน้ำ

เราอยู่ในสังคมที่ครูจับเด็กกล้อนหัว ตัดผม โดยไม่มีความผิด แถมยังมีคนมาปกป้องครูว่าทำไปเพราะรักและหวังดีกับเด็ก

เราอยู่ในสังคมที่ประชาชนส่วนใหญ่ปกป้องเครื่องแบบนักเรียน เครื่องแบบนักศึกษามากกว่าความเป็นคนของนักเรียนและนักศึกษา

เราอยู่ในสังคมที่คนส่วนใหญ่สนับสนุนวัฒนธรรมอำนาจนิยมในโรงเรียน มากกว่าสนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ เสรีภาพของนักเรียน นักศึกษา

เราอยู่ในสังคมที่ ส.ว.ลิ่วล้อเผด็จการ ขึ้นสู่อำนาจเพราะปล้นประชาชน แต่สามารถลอยหน้าลอยตาด่านักการเมือง สั่งสอนประชาชนให้ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม มีศีลธรรม อย่างหน้าด้านๆ ปราศจากความละอาย

เราอยู่ในสังคมที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปลดนายกสโมสรนิสิตฯ ด้วยเหตุผลว่าเชิญรุ้ง เพนกวิน ซึ่งเป็นนักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย มาปาฐกถาในมหาวิทยาลัย การสนับสนุนกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย แทนที่จะเป็นที่น่าเชิดชู ยกย่อง สนับสนุน แต่กลับกลายเป็นอาชญากรรมไปหน้าตาเฉยในสายของผู้บริหารมหาวิทยาลัย – ย้ำมหาวิทยาลัย

ตรงกันข้ามสิ่งที่มหาวิทยาลัยทำคือเชิญอดีตหัวหน้าคณะรัฐประหารมาปาฐกถา แล้วยืนน้อมตัวโค้งคำนับ เชิดชู ยกย่อง ให้เกียรติ ภูมิใจที่หัวหน้าคณะรัฐประหารมาพูดที่มหาวิทยาลัย

เราอยู่ในสังคมที่อาจารย์มหาวิทยาลัยกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ไปร่วมม็อบเป่าหนกหวีดอย่างภาคภูมิใจ

เออ ภูมิใจที่ได้ร่วมขบวนการปล้นอำนาจประชาชน

ดังนั้น การที่มีคนไทยจำนวนไม่น้อย เชียร์/สนับสนุนรัสเซีย ไม่ได้เกิดจากการขาดความรู้ หรือข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ การเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (เพราะไม่จำเป็นต้องรู้มาก ก็ต้องรู้ว่ารัสเซียผิดที่ไปรุกรานคนอื่นก่อน) แต่เกิดจากขั้นตอนวิวัฒนาการจากทาสไปสู่พลเมืองที่ไม่สมบูรณ์

พูดง่ายๆ คนไทยจำนวนมากยังไม่วิวัฒน์จากไพร่ทาสไปเป็นคนหรือพลเมืองที่ครบถ้วน สมบูรณ์ คล้ายดักแด้ที่ไม่กลายเป็นผีเสื้อ มีชีวิตอยู่โดยคงความเป็นหนอนเช่นนั้นแล้วตายไปก่อนจะได้บิน

ขั้นตอนการวิวัฒน์กลายเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์นี้ทำให้คนเหล่านี้ ไม่รู้จักคุณค่าของเอกราช ประชาธิปไตย และอำนาจอธิปไตยว่ามันมีค่าและสำคัญขนาดไหน

สิ่งที่คนพวกนี้นิยมคือการเชียร์ และชื่นชอบ strongman ฝักใฝ่อยากอยู่ใต้อำนาจของผู้กดขี่ ต้องการมีสังกัด อยากมีหัวหน้า พอใจกับการเป็นลิ่วล้อมาเฟีย และได้เชียร์หัวหน้าตัวเองออกไปกระทืบคนอื่น

หลงรักการได้เป็นบริวารของพวกบูลลี่ และได้กร่าง ได้เบ่ง ได้ส่งเสียงดัง โดยอาศัยหรือแอบอ้างบารมีคนอื่นไปเรื่อย

และกลัวที่สุด คือกลัวการได้เป็นคนเต็มคนเพราะมันคงจะเวิ้งว้างเต็มทีสำหรับคนที่ชินกับการมี “นาย”

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงง่ายที่จะถือหางรัสเซีย แถมยังเชื่อมโยงได้มั่วซั่วไปหมด ว่านายเขานายเราสนิทกัน อย่างบ้าบอ

เขียนแล้วก็หดหู่เมื่อมองว่าเพื่อนร่วมชาติเราเกินครึ่งล้วนแต่เป็น “คนเต็มคน” ได้ แต่ไม่ยอมเป็น ปฏิเสธที่จะเป็น ห้ามไม่ให้คนอื่นเป็น