จับตา ‘MOESafety’ แอพพ์แก้ปัญหาความรุนแรง / การศึกษา

การศึกษา

 

จับตา ‘MOESafety’

แอพพ์แก้ปัญหาความรุนแรง

 

เป็นความพยายามแก้ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสถานศึกษาอีกครั้ง ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ภายใต้การกุมบังเหียนของ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)

ซึ่งกรณีนี้ถูกหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นและข้อเรียกร้อง เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการล่วงละเมิดทางเพศ ทั้งนักเรียนกับนักเรียน ครูกับนักเรียน การบุลลี่ การทำร้ายร่างกาย ไปจนถึงการลงโทษนักเรียนที่เกินกว่าเหตุ ฯลฯ

ขณะที่ช่องทางร้องเรียนผ่านศูนย์คุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษาของ ศธ. ผ่านสายด่วน 1579 ถูกมองว่าไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง สารพัดปัญหาที่เข้าไม่ถึงต้นต่อของปัญหาอย่างแท้จริง

กระทั่งกว่า 2 ปีที่ผ่านมา นักเรียนหลายกลุ่มรวมตัวเรียกร้องให้เจ้ากระทรวงหยุดปัญหาคุกคามนักเรียน, ยกเลิกกฎระเบียบล้าหลัง ทั้งทรงผม และเครื่องแต่งกาย เร่งปฏิรูปการศึกษา ที่สำคัญ แก้ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสถานศึกษา ฯลฯ มาแล้วหลายครั้ง

ถึงขั้นบุก ศธ. จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เรียกร้องให้เรื่องนี้เกิดการแก้ไขที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด

 

ต่อมา นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รับข้อร้องเรียนของกลุ่มนักเรียน จัดตั้งศูนย์คุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษาซึ่งถูกล่วงละเมิดทางเพศ (ศคพ.) เพื่อคุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษาที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ จากครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงปราบปราม ดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดที่กระทำความผิด พร้อมสะสางปัญหาเก่า และยุติปัญหาใหม่ ด้วยความรวดเร็ว รอบคอบ เด็ดขาด โดยเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกระทำหรือผู้พบเห็นการล่วงละเมิดทางเพศในสถานศึกษา ร้องเรียนและร้องทุกข์ได้ทางสายด่วน ศคพ. โทร. 0 2007 0001

แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นผลงานที่เป็นรูปธรรม…

 

ล่าสุด ครูเหน่ง น.ส.ตรีนุช เดินสาย 8 จังหวัด Kick-off สถานศึกษาปลอดภัย เปิดศูนย์สถานศึกษาปลอดภัย รับแจ้งเหตุความรุนแรงทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นในสถานศึกษา ใน 4 ช่องทาง ดังนี้ ใน แอพพลิเคชั่น, www.MOESafetyCenter.com, LINE @MOESafetyCenter หรือที่คอลเซ็นเตอร์ 0 2126 6565

โดยทาง ศธ. คาดหวังว่า แอพพลิเคชั่น MOE SAFETY CENTER จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่รวดเร็ว ช่วยให้เด็กสามารถโหลดและแจ้งเรื่องร้องเรียนถึงส่วนกลางได้โดยตรง ศธ.สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที มีความเป็นธรรมและโปร่งใส นอกจากนี้ข้อมูลที่ได้รับแจ้งจะกลายเป็นบิ๊กดาต้า ที่ทำให้ ศธ.ทราบว่าอะไรที่เป็นปัญหาหลักได้รับการร้องเรียนมากที่สุด เพื่อหาแนวทางแก้ไขในระยะยาวต่อไป

“การเปิดช่องทางร้องเรียนดังกล่าว เป้าหมายให้โรงเรียนซึ่งเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง เป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข อยากมาโรงเรียน ซึ่งความปลอดภัยทั้งร่างกาย จิตใจ จึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะสถานศึกษาไม่ได้มอบเพียงความรู้เท่านั้น แต่ต้องสร้างกำลังใจ กำลังกายที่เข้มแข็ง ซึ่งจะทำให้เด็กและเยาวชนเติบโตอย่างมีคุณภาพ จากนี้จะเร่งประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความเข้าใจให้นักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษาในแต่ละพื้นที่เกิดความตื่นตัว เข้าไปแก้ไขปัญหาให้กับเด็กๆ มุ่งเน้น 3 มาตรการ คือ ป้องกัน ปลูกฝัง ปราบปราม เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับความปลอดภัย ทั้งภัยที่เกิดจากการใช้ความรุนแรงของมนุษย์ ภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุ ภัยที่เกิดจากการถูกละเมิดสิทธิ์ และภัยที่เกิดจากผลกระทบต่อสุขภาวะทางกายและจิตใจ” น.ส.ตรีนุชกล่าว

 

นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เห็นว่า แม้นโยบายจะดีแต่ไม่อาจแก้ปัญหาเรื่องความรุนแรงในสถานศึกษาได้ เพราะสถานศึกษาในประเทศไทยยังเป็นระบบอำนาจนิยมอยู่ ซึ่งต่างจากสถานศึกษาในต่างประเทศที่เป็นระบบสากลและเปิดกว้าง ให้นักเรียนมีอิสระ

สาเหตุที่ทำให้สถานศึกษาในประเทศไทยไม่ปลอดภัยสำหรับนักเรียน มาจากโครงสร้าง 3 ส่วน คือ 1.ระบบอำนาจนิยม ที่ยังถูกครอบงำจากศูนย์กลางอยู่ เพราะปัจจุบันมีทั้งระบบสั่งการและลงโทษ ถ้า ศธ.ไม่แก้ปัญหาอำนาจรวมศูนย์ความปลอดภัยในสถานศึกษาก็จะไม่เกิดขึ้น 2.กฎระเบียบ กฎเกณฑ์ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข สถานศึกษายังยึดค่านิยม มาตรฐาน กฎระเบียบเดิมๆ อยู่ ทำให้เห็นข่าวการลงโทษเด็กตามสื่ออยู่ตลอดเวลา และ 3.ปัจจุบันยังมีการแข่งขันระหว่างสถานศึกษาอยู่ นักเรียนจะถูกกดทับด้วยระบบอำนาจ ระเบียบกฎเกณฑ์ มาตรฐานและตัวบ่งชี้ ทำให้นักเรียนถูกครอบงำ ปิดกรอบ และต้องอยู่ในแนวปฏิบัติที่สถานศึกษาวางไว้

“จะเห็นว่าเด็กแทบไม่มีโอกาสในการปกป้องประโยชน์ของตัวเอง นอกจากว่าจะมีการเสนอข่าวจากสื่อมวลชน มองว่านโยบายของ น.ส.ตรีนุช เป็นนโยบายที่ดี แต่ไม่สามารถทำลายอำนาจนิยมในสถานศึกษาได้” นายสมพงษ์กล่าว

 

จากนี้ต้องจับตาให้ดี เพราะดูจากท่าที รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ที่ลงทุนจัดอีเวนต์เดินสาย 8 จังหวัดเพื่อเปิดโครงการนี้ ก็น่าจะหวังผลให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

แม้จะเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่ได้หนีไปจากวังวนเดิมก็ตาม!!

สุดท้ายเชื่อว่าน้องๆ นักเรียนคงรอชมผลงานอยู่เช่นกัน