ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 มีนาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | เอกภาพ |
ผู้เขียน | พิชัย แก้ววิชิต |
เผยแพร่ |
เอกภาพ
พิชัย แก้ววิชิต
แสงเงา
ด้วยเพราะมีแสงมันจึงไม่ไร้เงา
ความใกล้ชิดที่อยู่กันคนละฟากฝั่งระหว่างแสงกับเงา ไม่มีอะไรผิดปกติระหว่างสิ่งทั้งสอง
ความต่างกันจะยังคงมีกันและกันเสมอ
เมื่อชีวิตได้แทรกอยู่ระหว่างกลางจากสิ่งทั้งสอง เราจึงได้รับรู้ถึงด้านสว่างและด้านมืดที่อยู่ในเบื้องหลัง
ใครกันที่จะแยกแสงออกจากเงา
ใครกันที่จะชื่นชมความงามของแสงโดยปฏิเสธการมีอยู่ของเงา
ชีวิตยังคงต้องพึ่งพาแสงในทุกๆ ด้านของชีวิต ทั้งทางตรงและทางอ้อม การตีความที่ต้องด้วยแสงในชั้นเชิงทางปรัชญาและศาสนามักชี้ส่องในทิศทางที่เปรียบแสงเป็นดั่งปัญญา และเงามืดที่อยู่อีกด้านของแสงกลายเป็นพื้นที่ของความโง่งม
และในพื้นฐานความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ แสงเป็นดั่งเข็มทิศของชีวิตที่จะชี้บอกให้ก้าวเดินไปในทิศทางของความสุขสมหวังและด้านดีๆ ของชีวิต มันคือความดีงามทั้งหมดทั้งมวลที่ควรแสวงหา
และเงาก็เป็นส่วนที่ถูกกลับด้านให้ต่างกันออกไป
สำหรับผมเป็นการส่วนตัว ผมจะไม่เลือกที่จะให้ค่าอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงด้านเดียว ไม่ว่าแสงหรือเงา เพราะธรรมชาติมีเหตุผลเสมอ
ไม่มีสิ่งใดที่ไร้ประโยชน์
แสงมีความจำเป็นต่อทุกๆ สรรพสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้
และเงาก็ไม่ใช่ส่วนเกินที่หาประโยชน์มิได้
เราพึ่งพาร่มเงาเมื่อต้องหลบความร้อนจากแดด
เราหาความบันเทิงจากการเล่นกับเงาในทุกยุคทุกสมัย และสิ่งที่สำคัญไม่น้อย เงามักจะบอกทิศทางของแสงเสมอ
ความมีอยู่ของแสงกับเงาไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อที่จะเป็นสิ่งที่ถูกเลือก ว่าสิ่งใดดีและมีประโยชน์มากกว่ากัน ถ้าสังเกตให้เห็นและเข้าใจด้วยความเป็นกลางก็จะได้ประโยชน์จากสิ่งทั้งสอง จากสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน
บ่อยครั้งความผิดพลาดจะสอนให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ความพ่ายแพ้จะบอกวิธีที่จะเอาชนะในครั้งหน้า ความอ่อนแอจะสะกิดบอกเมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้มแข็ง เรารับรู้ถึงสิ่งที่ดีก็เพราะเข้าใจในสิ่งที่ไม่ดี ชีวิตจะดูเสียเปรียบถ้าต้องเลือกเอาสิ่งใดสิ่งใดและปฏิเสธสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกไปจากชีวิตโดยที่ไม่พยายามเข้าใจ มันไม่ง่ายนักที่จะแยกแสงและเงาออกจากกัน
ความสุขที่ผลักไสความทุกข์ ความไร้เหตุผลและไม่ยอมเข้าใจ มันจะสร้างเจ็บปวดเสมอ
คู่ตรงข้ามระหว่างสองสิ่ง ช่วยประคับประคอบให้ผมได้เห็นรูปแบบของการสร้างสมดุลย์ให้กับชีวิต ได้บ้างไม่มากก็น้อย
จากสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน ดำกับขาว สูงกับต่ำ สั้นกับยาว ดีกับชั่ว มันเป็นการยืนอยู่ระหว่างกลาง ไม่สุดโต่งไปกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา
ต้นสายปลายเหตุของปัญหาอาจแก้ได้ด้วยสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน สิ่งที่เกิดขึ้นมันมาจากเหตุและปัจจัยที่ส่งเสริมกันให้เกิดผลบวกหรือลบ
เมื่อชีวิตต้องเจอกับด้านบวกก็จะไม่ลืมด้านลบ
ในทางกลับกันเมื่อด้านลบเกิดขึ้นก็จะคำนึงถึงด้านบวกด้วยเสมอ
มันเป็นการปรับตัวและเรียนรู้ที่จะเข้าใจวิถีแห่งคู่ตรงข้ามที่จะยังมีกันและกันเสมอ
ดั่งเช่นแสงและเงา
ขอบคุณมากมายครับ