มวลมหาศาล / เรื่องสั้น : ติณ นิติกวินกุล

เรื่องสั้น

ติณ นิติกวินกุล

 

มวลมหาศาล

 

เรารู้จักกันมาแล้วสองสามเดือน เขาเป็นพนักงานเซเว่นอีเลฟเว่น ผมเข้าไปซื้อของเป็นประจำ วันหนึ่งผมหนีบนวนิยายเรื่อง ‘คนแคระ’ ของวิภาส ศรีทอง ใต้รักแร้ตอนไปเข้าคิวจ่ายเงิน เขาคงเหลือบเห็น จึงชวนผมคุยถึงหนังสือเล่มนี้ทันทีที่ถึงคิวผม จากนั้นเป็นต้นมาเขามักชวนผมคุยเกี่ยวกับหนังสือโดยเฉพาะวรรณกรรมเนื้อหาหนักๆ บางทีก็ทักทายกันว่าวันนี้อ่านนวนิยายเรื่องไหนอยู่

จากนั้นราวปลายเดือนกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา ช่วงโควิด-19 กำลังระบาดหนัก ยอดผู้ติดเชื้อวันละหมื่นกว่ามาตลอดและมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ผมออกนอกบ้านน้อยลงมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าร้านสะดวกซื้อ ผมจะระมัดระวังเป็นพิเศษ เขายังเป็นพนักงานของเซเว่น แทนที่จะทักทายและชวนคุยเรื่องโควิดเหมือนคนอื่นๆ เขากลับบอกว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาจมกับตัวหนังสือในนวนิยายเรื่อง ‘คนแคระ’ ของวิภาส ศรีทอง

“ทันทีที่หน้าสุดท้ายปิดลง ความรู้สึกอยากจับกุมคุมขังใครสักคนก็ผุดขึ้นอย่างตื่นเต้น ผมอยากทำมากเลยพี่ มันเหมือนมีก้อนแข็งๆ มวลมหาศาลภายในอกอย่างน่าประหลาด ยิ่งคิดยิ่งคึกคักขนลุกซู่ไปทั้งตัว ยิ่งอยากลงมือให้ไวๆ”

ผมนึกขันกับคำว่า ‘มวลมหาศาล’ ของเขา

ถ้าเป็นผมล่ะ จะจับใครดี จู่ๆ ผมก็นึกของผมขึ้นมา ทบทวนไปมา หากคิดจะทำอย่างในหนังสือก็คงจะลำบาก ผมไม่มีสถานที่เหมาะสม ไม่มีเงินมากมายค้ำจุน ไม่มีเวลาเหลือเฟืออย่างนายเกริกนั่น อืม…งั้นก็จับหมาจับแมวก็ได้ หรือสัตว์ชนิดอะไรก็ได้สักอย่าง แต่ทันทีที่คิด ความตื่นเต้นสนุกสนานก็แทบจะห่อเหี่ยวหมดลง มันง่าย มันพื้นๆ ไป ผมบอกตัวเอง มันต้องระดับ ‘คน’ เพราะคนมีความคิด ความอ่าน ความรู้สึกน่ะสิ แต่ถ้าเป็นคนแคระจริงๆ ล่ะ อย่างในเรื่อง ไม่ ไม่เอา อ่านจบแล้วเหมือนรู้แล้ว คาดการณ์ได้แล้ว ไอ้ความรู้สึกนี่เองละมั้งที่พนักงานเซเว่นคนนั้นหมายถึง “มวลมหาศาล”

เขาสะกิดผมให้รู้สึกตัว “มีอะไรหรือเปล่าพี่ เห็นนิ่งไป”

“ไม่ ไม่มีอะไร ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย” ผมตอบ

“งั้นผมไม่กวนพี่ล่ะ ตามสบายนะครับ”

“ไม่ ไม่ ไม่เป็นไร ผมก็แค่คิด…” ผมพูดยังไม่ทันจบ เขาก็เดินหายเข้าไปในส่วนด้านในของพนักงาน ผมจึงซื้อของที่หมายใจไว้ แล้วรีบออกจากร้าน

 

ระหว่างเดินกลับบ้าน ผมนึกถึงเรื่องที่เขาพูด โดยเฉพาะกับคำว่ามวลมหาศาล อย่างที่บอกว่าพอนึกถึงว่าจับสัตว์ จับอย่างอื่นที่ไม่ใช่คน ความรู้สึกมันห่อเหี่ยวมลายหายไปทันที แต่ถ้าหากคิดจะจับคนจริงๆ ล่ะ ตลกน่า ไม่หรอก ไม่ ไม่ เอาแค่คิดก็พอ ผมบอกตัวเอง อืม หากจะจับอย่างในนิยาย จับคนแคระล่ะ อืม…สภาพความเป็นคนแคระนั้นคาบเกี่ยวระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ คนแคระมันดูผิดปกติยังไม่รู้ สำหรับผมดูแล้วเหมือนอะไรสักอย่างที่ผมควบคุมไม่ได้ อะไรสักอย่างระหว่างเหตุผลกับอารมณ์ ระหว่างความพิกลพิการกับความก้ำกึ่งไม่แน่ชัด ถ้าเป็นเด็กล่ะ ไม่ละ ไม่ดีกว่า สงสารพ่อแม่ตายายญาติพี่น้องเด็ก เด็กคนเดียวเกี่ยวข้องกับคนมากมาย คนมากมายเหล่านั้นก็เกี่ยวข้องกับคนอีกมากมายไปอีกเป็นทอดๆ

ถ้าเช่นนั้นเอาใคร แกเลือกมากแล้วนะ เลือกมากขนาดไหนกัน เหมือนผมจะได้ยินใจผมพูด แค่คิด แค่ยกตัวอย่างเปรียบเทียบไม่กี่อันเอง คนเราก็ต้องมีเหตุผลสนับสนุนการกระทำของตัวเองสิ แกเข้าใจไหม อยู่เฉยๆ ฟังไป คิดไปได้ไหม

นาทีนั้นเองที่ผมตอบตัวเองว่า ต้องผู้หญิง! ใช่! โอ้ว! ผู้หญิง! นึกแล้วราวกับมีพลังมหึมาขับเคลื่อนอยู่ภายใน อึม มันพองโตขึ้นอย่างบอกไม่ถูก แล้วจับมาแค่กักขังจะไปสนุกจะไปมันส์แค่ไหน ต้องข่มขืนด้วย เฮ้ย! ขนาดนี้มันเรื่องใหญ่นะ คดีความนะ คนเกี่ยวข้องมากมายอีก เอ็งกลัวคนมากมายไม่ใช่หรือ ผู้หญิงก็เป็นคนนะ ถ้าเอ็งจะคิดว่าเป็นคนแล้วทำไม่ได้ เอ็งก็ไม่ต้องทำ เลิกกัน พอกันที ในนวนิยายเรื่องคนแคระ ไอ้หมอนั่นมันประหลาด มนุษย์ที่ไหนจะเป็นกัน แต่แกก็เป็นแล้วนี่ ความรู้สึกอยากจับอยากขังใครสักคน แกเกิดคิดขึ้นมาแล้วนี่ อยากเสียแล้ว ความอยากมันเข้าใครออกใครเสียที่ไหน!!

ใช่ ใช่ อยากจับอยากขังใครสักคน…

แล้วทำไมไม่เป็นผู้ชาย คนแก่ ยายสักคน ตาสักคน ไม่รู้สิ มันไม่เจริญหูเจริญตาเลย จับผู้หญิงดีกว่า จับมากักขังเอาไว้ในห้องสี่เหลี่ยมที่เราอยู่ด้วย ให้ข้าว ให้น้ำให้อาหาร ให้ทุกอย่างที่เธอต้องการแบบในหนังสือนั่นแหละ แต่เอ็งเคยคิดว่าจะต้องข่มขืนเธอด้วยนี่ ใช่ๆ แต่มันจะมีอะไร ข่มขืนได้สักกี่วันกันเชียว เดี๋ยวก็เบื่อ เหมือนที่เอ็งเคยเบื่อการหลับนอน การมีเซ็กซ์จนเลิกทำกับผู้หญิงมาหลายปีแล้ว

โอ้ โอ้ มันหมดความตื่นเต้นมากกว่า ข้าเห็นทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้น ดำเนินไปจนจบ มันเหมือนๆ กันหมด ข้าหมดความสนุก ความคึกคัก ตื่นเต้น ค้นหาจนหมดสิ้นทุกอย่าง ข้าไม่อยากมีเซ็กซ์ มันหมดแล้ว หมดจริงๆ

แล้วทำไมเมื่อครู่เอ็งคิดว่าจะต้องจับผู้หญิงมาข่มขืน

นั่นสิ พอแค่คิด ข้าก็ตื่นเต้นอย่างลืมตัว! ทุกส่วนในตัวมันแตกตื่นขึงขังไปหมด ข้าว่าข้าทำเลยดีกว่า

เสียงภายในของผมดังเช่นนี้ ผมหันไปทางร้านเซเว่นที่จากมา ผมกำลังเดินบนบาทวิถี ห่างจากร้านเซเว่นหลายร้อยเมตรแล้ว ห่างมากไกลพอสมควรแล้ว…

 

ผมนั่นเองไม่ใช่เขาที่เป็นฝ่ายออกไปเดินในสายของวันหนึ่ง

ผมออกจากบ้านเดินไปตามทางเท้า จากซอยที่อยู่อาศัยเดินสู่ถนนใหญ่ มองไล่สายตาไปตามทางเท้าและท้องถนน โควิดระบาดหนัก คนติดเชื้อวันละเกือบสองหมื่น บนท้องถนนผู้คนบางเบา รถราน้อยลงจนเหมือนเมืองร้าง ผมรู้สึกไม่ชอบเลย มันดูเหมือนกำลังตกในมนต์สะกดของบางสิ่งบางอย่าง

ทันใดผมเห็นสาวแต่งตัวอย่างพนักงานออฟฟิศ นุ่งกระโปรงสั้น เสื้อคับติ้ว ผิวขาวๆ อกโตๆ ยังไม่นับบรรดานักศึกษาสาวที่เดินสวนมาอีก โควิดปิดเรียนไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเธอยังแต่งตัวนักศึกษาอีกล่ะ ไม่ใช่นักศึกษาจริงล่ะมั้ง คอสเพลย์รึเปล่า ผมคิดไปตอบตัวเองไป

เอาล่ะ ไม่ต้องคิดกันละว่าผมจะตื่นเต้นแค่ไหนเมื่อคิดว่าเอาสาวออฟฟิศ สาวนักศึกษามาจับขังแล้วลงมือข่มขืน!!

ใช่ มันตื่นเต้น เมื่อคิด ทำไมเมื่อก่อนไม่เคยคิดบ้าง ผมไม่มีเซ็กซ์มานานแล้ว สองปีละมั้งตั้งแต่โควิด-19 เริ่มระบาด มีเพียงสองสามหนที่ผม ‘ช่วยตัวเอง’ ให้มันพ้นๆ ไป พ้นจากความอยาก ความอัดแน่นภายใน แต่วันนี้ผมพร้อมที่จะระเบิดความอัดแน่นเหล่านี้แตกกระจายภายในร่างหญิงสาวที่ผมคิดว่าจะพวกเธอมากุมขัง!

แค่คิดก็ตื่นตัวแล้ว ความตื่นตัวมันแข็งขันจนผมอยากจะระบายออก ผมมองไปยังสาวออฟฟิศแต่ละคน คนนั้น คนนี้ คนโน้น ผู้หญิงในชุดหลากสี ทรวดทรงองค์เอวหลากหลาย ช่างบรรเจิดมาก สีสันในช่วงเวลาที่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝนตกเปลี่ยนแปลงไปมาอยู่ตลอด แล้วทันใดก็สะดุดตากับสาวคนหนึ่ง เธอสวมกระโปรงแดง เสื้อเชิ้ตขาวตัวเล็กรัดร่าง รองเท้าส้นสูงสักสามนิ้วนั้นสีแดง เธอกางร่มสีเขียวสลับเหลือง ผมยังไม่เห็นใบหน้า ดูจากด้านหลัง เธอสูงราว 160 ซ.ม. สะโพกไม่ผายเท่าไหร่ แต่ดูกลมกลึง ยิ่งมันอยู่ภายใต้กระโปรงที่สั้นและรัดท่อนขาขาวจนคับแน่นนั้น ให้ตายสิ! ผมอยากเห็นเธอหันมาชะมัด

ผมจ้อง จ้องและจ้อง! แล้วเธอก็หันมาจริงๆ เพิ่งเห็นว่าเธอตาเรียวเล็ก เหมือนตาคนจีน แม้จะใส่หน้ากากอนามัยถึงสองชั้น แต่ก็พอจะสังเกตได้ว่าโหนกแก้มบนใบหน้านั้นใหญ่ ผมเดาเอาว่าปากเธอคงบางและทาลิปสติกสีชมพูมันวาว สาวๆ ถึงจะใส่หน้ากากอนามัยแต่ก็ไม่วายทาลิปสติกล่ะ เวลานั้นผมรีบบอกกับตัวเองว่าคนนี้แหละ!

แล้วผมจะทำอย่างไรล่ะทีนี้ ในนวนิยายเรื่องคนแคระ ตัวเอกเรียนแพทย์จึงปิดช่องทางเรื่องการลักพาตัวไปได้ด้วยการให้ตัวเองรู้จักยาสลบและการใช้ในปริมาณที่เหมาะสม แต่ผมไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย จะทำอย่างไรดี

เดินตามไปก่อนละกัน!

 

ระหว่างเดินตาม รู้สึกเหมือนตอนเรียนมัธยมต้นเดินตามหญิงเพราะอยากรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน บ้านช่องตรอกซอยที่อยู่อาศัยเป็นอย่างไร เดินตามอยู่หลายวัน สุดท้ายก็ได้แต่เดินตามไม่กล้าลงมือจีบเสียที

‘ผู้หญิง’ เดินเลี้ยวตรงมุมตึก มีบางคนเดินมาบัง บางคนเดินเบียดเดินตัดหน้าผม คนแล้วคนเล่า! ช้าไม่ได้แล้วเดี๋ยวหายไปเสียก่อน ผมเร่งฝีเท้าตามจนได้ระยะทิ้งห่างพอประมาณ ไม่ให้ใครจับสังเกตได้ ผู้หญิงคนนั้นหยุดตรงใต้สะพานลอย ตรงนั้นมีแผงหาบเร่ขายอะไรสักอย่าง พอเธอเดินขึ้นสะพานลอย ผมไล่ตามไปจึงเห็นว่าคือแผงขายพวกต่างหู หญิงสาวลงสะพานลอยแล้วเดินไปตามบาทวิถี เธอไม่ได้เลี้ยวเข้าซอย กลับเดินถึงสี่แยกก่อนจะหยุดรอข้ามถนน แล้วตรงเข้าห้างซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ ผมเดินตามอยู่ห่างๆ เธอแวะดูตามชั้นสินค้าต่างๆ ผมหยุดรออยู่ห่างๆ ไม่ให้เธอจับได้ว่ากำลังแอบตาม

สักพัก เธอก็หิ้วของสองสามอย่างไปชำระเงิน เธอเตรียมถุงผ้ามาเอง ผมมองไม่เห็นว่าเธอซื้ออะไร เธอใส่ในถุงแล้วแวะร้านขายยาติดกับซูเปอร์ฯ ออกมาพร้อมถุงพลาสติกหนึ่งถุง เธอแวะเข้าศูนย์บริการมือถือ ตรงนี้ใช้เวลาพักใหญ่ เมื่อออกมาเธอก็เดินเข้าร้านขายยาที่เข้าเมื่อครู่อีก ออกจากร้านขายยาก็เข้าร้านเครื่องสำอางที่ติดกัน ออกจากร้านเครื่องสำอางก็ตรงไปข้ามถนน ผมตามไป ถึงอีกฝั่ง เธอเงยหน้าสบตากับป้ายรถประจำทาง แล้วเธอกลับแวะเข้าร้านสะดวกซื้อ ก่อนจะออกมาพร้อมถุงหิ้วสีครีมในมือซ้าย เธอก้าวไปยังร้านบะหมี่เกี๊ยวที่อยู่ด้านหน้าร้านสะดวกซื้อ สั่งแล้วก็ยืนรอ ไม่นานเธอก็จ่ายสตางค์พร้อมยื่นมือรับถุงพลาสติกมาอีกหนึ่งถุง ผมเดินตามห่างๆ เห็นเธอหยุดที่ร้านกาแฟ เธอก็มีกาแฟเย็นแก้วใหญ่ในอีกมือ

จะไปไหนอีกนะ กลับบ้าน… กลับที่ทำงาน…

เธอโบกมือเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่แล่นผ่าน ก่อนจะขึ้นนั่ง ผมรีบกวักเรียกมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งให้หยุด บอกพี่วินว่า “พี่ๆ ตามเวฟสีแดงคันข้างหน้าไป”

พี่วินมองหน้าผม ผมรีบตอบไปว่า “ผู้หญิงคนนี้ยืมเงินผม ไม่คืนเสียที ผมอยากรู้ว่าบ้านเค้าอยู่ไหน เดี๋ยวผมให้พี่พิเศษ”

รถมอเตอร์ไซค์เลี้ยวขวาเลี้ยวซ้ายหลายครั้งจนผมงง ให้ผมมาอีกครั้งด้วยตัวเองผมลืมทางแน่ ที่สุดก็มาจอดหน้าคอนโดมิเนียม ผมเห็นเธอกำลังลงและจ่ายเงิน จึงบอกพี่วินว่าจอดตรงนี้ ค่ารถไม่รู้เท่าไหร่แต่ผมให้พี่เขาไปร้อยบาท

“อย่าไปเล่าให้ใครฟังนะพี่ ผมขอ”

พี่วินยิ้มให้ก่อนจะกล่าวสำทับว่าครับๆ สองสามทีแล้วเลี้ยวรถกลับ

 

เธอเดินหายเข้าไปในคอนโดมิเนียม ผมเดินตามและหยุดมองห่างจากป้อมยามรักษาความปลอดภัยเล็กน้อย เห็นเธอหยิบสมาร์ตโฟนออกมาดู แล้วเดินตามคนข้างหน้าที่ใช้คีย์การ์ดรูดเปิดประตู

หมดเวลาไปกว่าชั่วโมง เหนื่อยเหมือนกันนะ ผมคิด แล้วนี่เราจะทำยังไงต่อดี แล้วผมก็ตอบตัวเองว่าพรุ่งนี้ค่อยมาดักรอที่นี่แล้วตามต่อ ค่อยคิดหาลู่ทางดักจับให้ได้

ใช่ ผมยังไม่รู้ว่าจะจับเธอด้วยวิธีใดและไปขังที่ไหน แม้แต่แน่ใจได้อย่างไรว่านี่คือที่พักอาศัยของเธอ เธออาจจะมาหาใครก็ได้ นั่นน่ะสิ ทำไมผมไม่รอบคอบเอาเสียเลย

ช่างเหอะ พรุ่งนี้ถ้ามาแล้วไม่เจอก็หาเอาใหม่

ปัญหาที่ต้องขบคิดหนักกว่าก็คือ ห้องเช่าเล็กๆ ติดกันเป็นพืดสิบกว่าห้องที่ผมพักอาศัย จะขังคนไว้ได้หรือ ถ้าเกิดเธอร้องล่ะ จะมีใครไปตามตำรวจมาไหม ยังๆ นี่แกยังคิดหาทางจับตัวไม่ได้เลย อย่าเพิ่งคิดว่าจะขังยังไง มันต้องหาที่ขังก่อนสิ จะได้วางแผนจับ ก็ในห้องของเอ็งสิวะ ใช่ๆ แล้วจะจับยังไงดีวะ แล้วนี่เอ็งจะข่มขืนอย่างเดียวจริงหรือ ไม่รู้สิ ตอนนี้รู้แต่ว่าเหนื่อย หมดแรง หมดอารมณ์แล้วว่ะ

ผมคิด ผมพูดกับตัวเองอยู่อย่างนั้นก่อนจะบอกตัวเองว่ากลับบ้านเถอะ

แล้วผมก็โบกมอเตอร์ไซค์รับจ้างคันหนึ่งที่แล่นผ่านหน้า ถึงหน้าปากซอย เจอคนขับวินที่ส่งผมตอนแรกยิ้มให้ อ้าว มอ’ไซค์วินนี้เองหรือ ผมคิดขึ้นมาว่าผมพลาดแล้ว อย่างน้อยไอ้หมอนี่ก็เห็นผมในวันนี้และจำผมได้แล้ว ต้องฆ่ามัน! เฮ้ย! มึงจะบ้าหรือ ชักไปกันใหญ่ นี่มึงถึงกับจะฆ่าคนเลยหรือ ไม่ใช่มดนะ มึงจะบี้ได้

กินราดหน้าดีกว่า คิดแล้วผมก็เลี้ยวเข้าร้านตรงหน้า เขาบอกว่านั่งกินในร้านไม่ได้ ผมหงุดหงิด ได้แต่สั่งใส่ถุงกลับบ้าน เส้นหมี่ราดหน้ากับผัดซีอิ๊วเส้นใหญ่ ก่อนจะจ่ายเงินแล้วเดินไปร้านติดกันสั่งเกี๊ยวน้ำอีกถุง

แล้วโบกเรียกแท็กซี่กลับบ้าน

 

ตลอดบ่ายจนถึงดึกก่อนเข้านอน ผมนั่งหาทาง หาวิธีการที่จะจัดการกับหญิงสาว ไม่ว่าจะคนนี้หรือคนไหนอยู่ตลอดเวลา มีสารพัดวิธีที่คิดได้ จนกระทั่งม่อยหลับไป ผมหลับเสียสนิท จำไม่ได้ว่าฝันอะไรไปบ้าง ตื่นนอนก็สายแล้ว มองดูเวลา คงไปไม่ทันผู้หญิงคนนั้นที่คอนโดฯ ของเธอ ใช่สิ ไกลมากนะ กว่าจะไปถึง ดูมิเตอร์แท็กซี่ตอนขากลับบ้านเกินสามสิบกิโลเมตรเหมือนกัน

แล้วผมก็ไปทำงานตามปกติ

เลิกงานผมนั่งคิดอยู่นานกว่าจะออกเดินทางไปคอนโดฯ ของผู้หญิงคนนั้น มันเริ่มไม่สนุกแล้ว เมื่อนึกภาพห้องผมที่คับแคบไป คนก็พลุกพล่านไป จะจับคนขังอย่าว่าแต่เดือนหนึ่งเลย สามวันจะไหวไหมเนี่ย แล้วเรื่องจะลางานยังไง ลาจนหมดโควต้าแล้ว หาเหตุอ้างอีกก็ไม่ได้ หมดมุขจริงๆ

เอาวะ ไปดูเธออีกสักครั้ง เผื่อเกิดแรงมุมานะ สมองปลอดโปร่งอาจคิดอะไรออก

กว่าจะไปถึงฟ้าก็มืดแล้ว ผมให้รถแท็กซี่เข้าไปจอดถึงหน้าคอนโดฯ ของเธอ หนนี้ผมไปรออยู่นานมาก กว่าสามทุ่มเธอถึงจะกลับมา ในความสลัวรางเลือน อาศัยไฟถนนและแสงสว่างใต้คอนโดฯ เธอคงพักอยู่ที่นี่จริงๆ รู้สึกดีใจ ได้กำลังใจมาอีกกองใหญ่ๆ

ผมเห็นเธอเดินมาในชุดสีแดงทั้งชุด ผมเผ้ารวบตึง ผมแน่ใจว่าเธอยังคงแต่งหน้าทาปากด้วยลิปสติกสีชมพู ทว่าท่าทางการเดินเหินดูเธอโงนเงนเหมือนคนเมา แค่สามทุ่มคงไม่ได้ไปดื่มก่อนกลับบ้านนะ

ทันใดนั้นเองก็มีผู้ชายคนหนึ่งมาจากไหนไม่รู้ตรงเข้าตบหน้าเธออย่างแรง บริเวณนั้นและที่ผมแอบอยู่ไม่มีใครเลย ไม่มี รปภ.สักคนมาห้ามปราม ไม่มีแม่ค้าหรือพวกชอบสอดรู้สอดเห็นออกมาดูสักคน ผมเห็นเธอร่วงลงนั่งกับพื้น ผู้ชายคนนั้นยืนค้ำหัวชี้นิ้วคงจะด่าเธออยู่สองสามนาทีแล้วก็ตรงไปที่รถยนต์ของตัวเองขับออกไป

เธอค่อยๆ ลุกขึ้น ล้วงลงในกระเป๋า น่าจะเป็นการหยิบคีย์การ์ด เพราะประตูคอนโดฯ เปิดออกเมื่อยื่นสอดไปที่ประตู เธอหายเข้าไปในตัวตึกพักใหญ่แล้ว ผมก็ยังไม่เห็นใครออกมาสักคน

ยืนคิดอยู่นาน ในศีรษะมึนตึบคิดอะไรไม่ออก จะกลับบ้านดีไหม ผมถามตัวเอง นั่นแฟนเธอแหงๆ คงทะเลาะกัน ไม่มั้ง อาจจะเป็นเจ้าหนี้จริงๆ ก็ได้ เฮ้ย! จริงหรือ แต่มึงก็ไม่เคยมีเจ้าหนี้มาทวงตังค์นี่ มึงจะรู้หรือว่าทำยังไงบ้าง ดูหนังไง ฟังคนอื่นก็ได้เยอะแยะเรื่องแบบนี้ อย่าเดาๆ ขอร้อง กลับบ้านดีกว่าเถอะ ไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของใครก็แก้กันเอาเอง เฮ้อ ใช่ จะไปทำอะไรได้

ก่อนเข้าห้องเช่า ผมแวะเซเว่นซื้อเบียร์กระป๋องกับไส้กรอกเส้นหนึ่งเดินซดเดินเคี้ยวจนถึงห้อง อาบน้ำเสร็จก่อนล้มตัวนอน มองไปบนโต๊ะ นวนิยายเรื่องคนแคระยังวางอยู่ตรงนั้น พรุ่งนี้เอาใหม่ แล้วผมก็ม่อยหลับไป

 

รุ่งขึ้นผมไปดักที่คอนโดฯ แต่ยักไม่เห็นเธอลงมา จนผมไปทำงานสาย ตลอดวันเฝ้าคิดแต่เรื่องเธอและนึกหาวิธีการต่างๆ ผมจำไม่ได้ว่าเธอทำงานที่ไหน คิดไปคิดมาเห็นว่ามีหนทางเดียวต้องไปดักตอนเช้าให้ทันเพื่อรู้ว่าเธอทำงานที่ไหนให้ได้

ผ่านไปคืนนั้น นวนิยายเรื่องคนแคระยังวางอยู่บนโต๊ะตรงนั้น…

วันถัดไปผมไปถึงแต่เช้ามืด เริ่มมีรถเข็นปาท่องโก๋ รถเข็นหมูปิ้งมาหยุดขายหน้าทางเข้าคอนโดมิเนียม จวบจนร้านสองร้านนี้ขายหมดเก็บรถกลับไป ก็ยังไม่เห็นเธอลงมา ผมไปทำงานสายอีกหน คราวนี้ถูกเจ้านายตำหนิยกใหญ่

ระหว่างวันก็เหมือนเมื่อวาน เฝ้าคิดแต่เรื่องผู้หญิงคนนี้ หมกมุ่นแต่เหตุผลทำไมถึงไม่พบ ผมบอกตัวเองว่าเธออาจจะไม่สบายล้มป่วยก็ได้ แต่เธอไม่ลงมาหาอะไรกินเลยหรือ อืม ไม่หรอก คนที่ขึ้นไปหรือลงมา หนึ่งในนั้นอาจจะเป็นเพื่อนเป็นคนที่เอาน้ำเอาข้าวปลาให้เธอรับประทานก็ได้

คืนนั้นหลังอาบน้ำเสร็จก่อนล้มตัวนอน มองไปบนโต๊ะเหมือนเดิม นวนิยายเรื่องคนแคระยังวางอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม ความรู้สึกอยากจับขังใครสักคนยังไม่หมดไป แต่มันล้า เหนื่อย เพลีย… เกินกว่า

ผมยังคงไปทำงานวันรุ่งขึ้น จนกระทั่งตกเย็นหลังเลิกงาน ผมถอดแมสก์ออกมายืนสูดอากาศหลังอาคารที่จอดรถเข้าเต็มปอด ที่โล่งกว้างสุดลูกหูลูกตาตรงหน้านั้น ผมจ้องมองประกายแสงแดดสุดท้ายของวันอย่างสงบ ผมพยายามค้นหาความรู้สึกของตัวเอง ลึกๆ แล้วมนุษย์เราต่างต้องการอะไรบางอย่างจากคนทุกคนจริงหรือ สิ่งที่ผมรู้ในยามนี้อย่างแน่นอนก็คือ ผมช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย กำแพงความรู้สึกกดทับเบื้องหน้า ไกลพอเหมือนเอื้อมได้ แต่ไม่อาจสัมผัสถึง

ต่อจากนั้นอีกหลายวัน ผมไม่ได้ไปหาผู้หญิงคนนั้นที่คอนโดมิเนียม ผมไปทำงานที่บริษัทตามปกติ ไปเช้ากลับค่ำเหมือนทุกวันตั้งแต่ก่อนพบผู้หญิงคนนั้น เพียงแต่ว่า…

ก่อนนอนทุกคืนผมใช้เวลาหมดไปกับการจินตนาการเอาว่าอยากทำอะไรกับผู้หญิงคนนั้นจนจบสิ้นกระบวนความและอย่างพอใจเป็นที่สุด

ผมใช้เวลากับเธอจนจบสิ้นกระบวนการและอย่างพึงพอใจเป็นที่สุด ไม่ได้ไปหาเธอที่คอนโดมิเนียมหรือที่ไหนๆ อีกเลย

ไม่ได้ไปเลย…

ไม่ได้แวะร้านสะดวกซื้อเพื่อคุยกับพนักงานเซเว่นด้วย

ไม่ได้ไปเลย…

 

กลิ่นของมวลอากาศต้นเดือนสิงหาคมตลบอบอวลรอบตัว ทั้งที่ผู้คนยังคงล้มตายและติดเชื้อจากโรคร้าย แต่กลิ่นที่ตลบอบอวลรอบตัวผมนั้นทั้งหอมทั้งฉุนชวนคัดจมูก ทันใดเหมือนพาตัวผมให้ลอยขึ้นและโยนผมลงอย่างไร้เยื่อใย ราวกับมีบางอย่างถาโถมใส่ น้ำหนักกดทับมหาศาลนั้นดันผมลงจนหายใจแทบไม่ออก เมื่อพยายามไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยวเหมือนยิ่งทำตัวเองให้จมดิ่ง…จมดิ่ง…

ภาวะนั้นเมื่อคลายผ่านไป ทิ้งเพียงสัมผัสบางเบานั้นในอ้อมแขน ตามเนื้อตัวและตลอดทั้งภายในจิตใจ •