ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 มีนาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
บ้านดำภูมิธรรมสถิต
พิพิธภัณฑ์บ้านดำภูมิธรรมสถิต
ให้เห็นจิตวิญญาณแห่งยุคสมัย
อันไปพ้นจากกายวาจาใจ
อมรรตัยแห่งถวัลย์ ดัชนี ฯ
ไปเชียงรายกับชาวคณะ สสส.ในกิจกรรมส่งเสริมงานศิลปะของเด็กและเยาวชนภาคเหนือ โดยมุ่งไปที่พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ของถวัลย์ ดัชนี ต.นางแล อ.เมือง เป็นหลัก
เนื่องจากเป็นการสำรวจเบื้องต้นและเวลาจำกัดจึงไม่ได้แวะเยือนวัดร่องขุ่น ของท่านเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ผู้น้องซึ่งเป็นศิลปินเอกคู่กันกับท่านถวัลย์ ดัชนี ผู้พี่
พิพิธภัณฑ์บ้านดำกับวัดร่องขุ่นสองแห่งนี้เป็นดั่ง “ภูมิบ้าน-ภูมิเมือง” ของเชียงรายโดยแท้ ซึ่งไม่เฉพาะเชียงรายเท่านั้น หากเป็น “ภูมิฐาน-ภูมิธรรม” ของแผ่นดินไทยและของโลกได้เลย
บ้านดำของถวัลย์เป็นสีดำ ขณะวัดร่องขุ่นเป็นสีขาว ตัดกันเป็นตรงข้าม ทั้งเนื้อหาและรูปแบบ
โดยเฉพาะบ้านดำของถวัลย์นั้นอลังการทั้งสถาปัตย์และปฏิมา ถ่ายทอดจากจิตวิญญาณความเป็นศิลปินเอกที่ชื่อถวัลย์ ดัชนี โดยตรง ด้วยสะท้อนทั้งรูปธรรมและนามธรรมของสรรพชีวิตในโลกนี้
ชีวิตที่มาจากธรรมชาติ และคงเหลือไว้เพียง “กระดูกกระเดี้ยวเขี้ยวเขา” อันเป็นรูปธรรมให้สะท้อนถึงนามธรรมคือ “แก่นสาร” เพียงเท่านั้น
แก่น คือ รูปธรรม
สาร คือ นามธรรม
อลังการของบ้านดำได้ข่มความผยองของมนุษย์ให้ศิโรราบเพื่อจะไปพ้นจากซากอศุภแห่งรูปธรรมเหล่านี้
ขณะอลังการบรรเจิดวิจิตรของวัดร่องขุ่นสีขาวนั้นนำให้ตระหนักถึงสิ่งสูงค่าทางจิตวิญญาณที่มนุษย์จะพึงมีจินตนาการไปถึงได้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
ศิลปสถานสองแห่งนี้จึงเป็นทั้ง “ภูมิฐาน-ภูมิธรรม” ของบ้านเมืองโดยแท้อันโอ่แก่ตาโลกได้เลยทีเดียว
ศิลปินชั้นเอกอุเช่นนี้หาได้ยากนักดังโวหารว่า “ต้องรอนับร้อยปีจึงจะเกิดมีสักคน”
ถวัลย์ ดัชนี เคยเล่าให้ฟังว่า
จบปริญญาเกียรตินิยมคณะจิตรกรรมจากมหาวิทยาลัยศิลปากร แล้วต้องการแสวงความรู้ต่อจากราชวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ ซึ่งสถาบันแห่งนี้ไม่ได้สนใจปริญญาตรีเกียรตินิยมของถวัลย์สักเท่าไร ให้ไปเรียนพื้นฐานจำเพาะของสถาบันแห่งนี้ให้ได้ก่อน
ถวัลย์คร่ำเคร่งอยู่หนึ่งปี หอบผลงานส่งอาจารย์ซึ่งวิจารณ์งานของถวัลย์เป็นทำนองว่า
“น่าผิดหวังจริงๆ เจ้าเด็กนี่มาจากตะวันออกแต่กลับทำงานแบบตะวันตก”
ถวัลย์จึงเริ่มงานใหม่สิ้นปีเสนอผลงานอีกครั้ง อาจารย์ยิ่งวิจารณ์หนัก
“มันเป็นยังไงนะเจ้านี่ทำงานเหมือนโฆษณาเมืองไทยมีแต่ไทยจ๋าไปหมด”
ถวัลย์บอกว่าเพิ่งเข้าใจทันทีนั่นเองว่าอะไรเป็นอะไร เขาบอกว่า
“ผมเริ่มค้นหาความเป็นถวัลย์ ดัชนีจริงๆ นับแต่บัดนั้น”
ซึ่งใช้เวลาถึงสิบเจ็ดปีจึงพบความเป็นถวัลย์ ดัชนี คนนี้
แม้ถวัลย์จะได้รับทั้งปริญญาโทและเอกจากสถาบันที่ศึกษานั้นแล้ว แต่ความเป็นถวัลย์ ดัชนี นั้นอยู่เหนือปริญญาใดๆ ในโลกแล้ว
เรื่องนี้น่าสนใจโดยเฉพาะทั้งแก่ศิลปินสร้างสรรค์และผู้สำเร็จการศึกษาทั้งหลาย ต่อเป้าหมายชีวิตว่า ที่แท้แล้วคืออะไร
อะไรคือคุณค่าแท้จริงที่เราควรบรรลุถึงในชีวิตนี้
ถวัลย์ ดัชนี เป็นตัวอย่างของศิลปินสร้างสรรค์ผู้ประจักษ์แล้วในตัวตน และภาคภูมิในความเป็นตัวของตัวที่แท้
น่าอิจฉาชาวเชียงรายที่มีศิลปินเช่นนี้อยู่ ท้าทายได้เลยว่าต่อให้มหาเศรษฐีทั้งหลายก็ไม่อาจนิรมิตอาณาจักรศิลปะเยี่ยงพิพิธภัณฑ์บ้านดำนี้ได้
สมควรส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนโดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายทุกโรงเรียนทุกคนได้เข้ามาดูมาเรียนรู้ที่บ้านดำเสมือนเป็นห้องเรียน “วิชาชีวิต” ซึ่งทุกคนสมควรต้องสอบผ่าน
ถวัลย์ ดัชนี เป็นคนสนุกและมีความสุขเหมือนคนที่ทำงานที่ตนรักตนชอบจบแล้วจริงๆ
พบกันทีไรก็จะเล่าเรื่องขำขันให้ฟังอยู่เสมอไป
ยกตัวอย่างสักเรื่องดังนี้
วันหนึ่งที่อเมริกา ถวัลย์เห็นอินเดียนแดงผู้เฒ่านั่งหน้าโรงแรมที่ตนขายที่ให้แต่ขอมานั่งประจำอยู่ กมล ทัศนาญชลี บอกถวัลย์ว่าอินเดียนแดงคนนี้มีความจำเป็นเลิศ
ถวัลย์จึงแวะถามว่า เมื่อลุงอายุสิบแปดวันแรกกินอะไรเป็นอาหารเช้า
ลุงอินเดียนแดงเงยหน้าตอบว่า
“ไข่…”
ทันใดกมลเร่งให้ถวัลย์ขึ้นรถด้วยเกรงจะไม่ทันเที่ยวบินกลับไทย
หลายปีต่อมาถวัลย์มีโอกาสไปอเมริกาผ่านไปพบลุงอินเดียนแดง ยังนั่งอยู่ที่เดิมก็ดีใจปราดเข้าไปพบยังไม่ทันจะทายทักอะไร
ลุงอินเดียนแดงเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า
“ต้ม”
ต่อประโยคที่ค้างไว้พลางยิ้มเหมือนจะว่า
“เมื่อกี้เอ็งหายไปไหนมาวะ ข้ายังพูดตอบไม่จบเลย”