ธงทอง จันทรางศุ | เร่งเพิ่ม ‘ประชากร’

ธงทอง จันทรางศุ

ประโยชน์อย่างหนึ่งของการอยู่ในโลกมานานปีอย่างผม คือการได้รู้ได้เห็นอะไรมามาก พอมีเหตุการณ์หรือข่าวคราวอะไรเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน สมองก็สามารถย้อนไปคิดเปรียบเทียบหรือทบทวนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต เพื่อวิเคราะห์แยกแยะหรือทำนายว่า จากนี้ไปข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง

ประเด็นหนึ่งที่กำลังมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับสังคมไทยของเรา รวมทั้งอีกหลายประเทศด้วย นั่นคืออัตราการเกิดของประชากรกำลังลดลงอย่างฮวบฮาบ จำนวนคนตายมีมากกว่าคนเกิด

ถ้าเป็นอย่างนี้ไปอีกสักพักหนึ่ง จำนวนประชากรก็จะลดลงไปจนมีนัยสำคัญ

จำไม่ได้เสียแล้วว่าเขาพยากรณ์ว่าปีใดในอนาคต ถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ไปอีกต่อเนื่อง วันหนึ่งจำนวนประชากรของเมืองไทยจะลดลงเหลือประมาณสามสิบล้านเศษ

เรียกว่าหายไปเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรทุกวันนี้เลยทีเดียว

ผมไม่ใช่นักสถิติหรือนักประชากรศาสตร์อะไรที่มีความรู้ลึกซึ้งมากมายนัก แต่เพียงที่เห็นจากคนรอบข้างที่เป็นชั้นลูกชั้นหลาน ก็พอทำให้เข้าใจอะไรได้บ้างว่าทำไมตัวเลขประชากรจึงเป็นอย่างนั้น

ลองนึกดูสิครับว่า เมื่อชายหญิงสองคนแต่งงานกัน ผมพบว่าหลายคู่ตกลงตัดสินใจร่วมกันว่าจะมีลูกเพียงแค่หนึ่งคน เพื่อจะได้มีกำลังเลี้ยงดูลูกให้ได้เต็มที่ ถ้ามีเกินกว่าหนึ่งคนแล้วก็เกรงว่าจะเกินกำลังของครอบครัวจะส่งเสียเลี้ยงดู

ดูตัวเลขในทางคณิตศาสตร์แล้วจะเห็นว่า จากจำนวนประชากรสองคนที่แต่งงานกันในรุ่นนี้ อีกไม่กี่ปีข้างหน้าพอสองคนสามีภริยานี้แก่เฒ่าล้มตายลงไป ประชากรรุ่นต่อไปก็เหลือเป็นแค่คนเดียวคือคนที่เป็นลูกโทนอย่างที่ว่า

เด็ดยิ่งไปกว่านั้น คือบางครอบครัว สามีภริยาเหลียวแลขวาแล้ว ตกลงกันตั้งแต่ก่อนแต่งงานเสียด้วยซ้ำว่าเราจะไม่มีลูกด้วยกัน ด้วยไม่อยากให้ลูกต้องเกิดมาเสี่ยงกับอนาคตที่ไม่แน่นอนอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าเรื่องอากาศเป็นพิษ เศรษฐกิจย่ำแย่ การศึกษาง่อนแง่น หรือรัฐบาลงอแง ฮา!

ครั้นเราจะห่วงอนาคตของเมืองไทยแล้วไปบอกให้เขามีลูกมากๆ แค่เขาย้อนถามกลับมาประโยคเดียวว่า แล้วคุณปู่หรือคุณลุงจะช่วยเลี้ยงไหม ผมก็ต้องเงียบเสียงเสียแล้ว

จํานวนประชากรถ้ามีน้อยเกินไปทำให้เกิดความยุ่งยากหลายอย่างติดตามมา อย่างน้อยย่อมเห็นได้ว่าตลาดของบ้านเราจะมีขนาดที่เล็กและแคบลง เทียบเคียงให้เข้าใจง่ายคือ ถ้าอยู่ที่เมืองจีน แค่ผลิตสินค้าอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง ไม่ต้องคิดส่งออกไปขายที่ไหน ขายเพียงแค่คนจีนด้วยกันพันกว่าล้านคนก็ผลิตสินค้าขายไม่ทันแล้ว

บ้านเราเวลานี้มีประชากร 60 กว่าล้านคน การค้าการขายก็ยังพอเดินได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามคนซื้อคนขายมีจำนวนลดลงกว่าครึ่ง ตลาดก็หงอยสิครับ

ถ้าคนไม่ซื้อขายกันแล้ว ประเทศชาติจะได้ภาษีมาจากไหนเล่า

เมื่อคนเกิดน้อยลง อีกหน่อยคนในวัยทำงานก็ลดลงอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ ขณะเดียวกันกับที่สังคมกำลังเดินไปทิศทางที่จะเป็นสังคมสูงอายุ หมายความว่าผู้สูงอายุตายช้า ในขณะที่คนในวัยทำงานมีจำนวนน้อย โครงสร้างประชากรอย่างนี้ เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายก็ต้องบอกว่า อยู่ในสถานการณ์คล้ายกับเด็กสองคนต้องช่วยกันอุ้มคนแก่สามคนอะไรอย่างนั้น

สำหรับคนที่ผ่านเหตุการณ์มาหลายช่วงตอนของชีวิตอย่างผม ยังจำได้ดีครับว่าเมื่อตอนผมเป็นหนุ่มกว่านี้อีกมาก จำนวนประชากรของบ้านเราเติบโตอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเกิดความเป็นห่วงว่าจะมีประชากรมากเกินไป จนต้องรณรงค์ให้มีการวางแผนครอบครัว หรือที่พูดกันเพื่อความเข้าใจง่ายว่าการคุมกำเนิด

เรื่องของผลิตภัณฑ์คุมกำเนิดที่เดิมต้องพูดกันอย่างกระมิดกระเมี้ยนก็ได้กลายเป็นของซึ่งคุ้นเคยและลดความเขินอายลงไปมาก ตัวอย่างเช่น ถุงยางอนามัย ซึ่งคงไม่ต้องบอกล่ะนะครับว่าเอาไว้ทำอะไร ก็เกิดมีชื่อเล่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น ว่า “ถุงยางมีชัย”

นิกเนมของถุงยางมีชัยนี้ไม่ได้หมายความว่าใช้ถุงยางมีแล้วจะไปมีชัยชนะที่ไหน หากแต่หมายถึงคุณมีชัย วีระไวทยะ ซึ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์คนสำคัญของกิจกรรมนี้ คนรุ่นผมต้องจำหน้าคุณมีชัยคู่กับถุงยางอนามัยได้อยู่เสมอ

แต่มาถึงยุคสมัยนี้ผมเข้าใจว่าคงไม่จำเป็นต้องเรียกถุงยางมีชัยอีกแล้ว เรียกถุงยางอนามัยหรือถุงยางเฉยๆ ก็เข้าใจกันแล้ว

ใครจะนึกครับว่าผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งชั่วอายุคนเลย จากการที่ต้องรณรงค์กันให้วางแผนครอบครัวต้องคุมกำเนิด เวลานี้ต้องมาคิดใหม่ทำใหม่ กลายเป็นต้องส่งเสริมให้คนมีลูกมากขึ้นเสียแล้ว

ได้ข่าวว่าจะมีมาตรการทางภาษีหรือทางกฎหมายหลายอย่างเพื่อจูงใจให้คนมีลูกมากขึ้น อารมณ์ว่ารัฐบาลตั้งใจจะลดแลกแจกแถมให้กับครอบครัวที่มีลูกมาเป็นกำลังของประเทศ ภายในปีสองปีข้างหน้าคงเห็นมาตรการเหล่านี้ทยอยออกมาบังคับใช้ ส่วนจะได้ผลเพียงใดหรือไม่ก็ต้องติดตามดูผลต่อไป

ผู้ใหญ่รุ่นก่อนผมขึ้นไปหนึ่งรุ่นเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นประชากรของเรามีน้อย เป็นยุคสมัยที่เรากำลังตั้งใจจะสร้างชาติให้เป็นมหาอำนาจ รัฐบาลได้ส่งเสริมการมีลูกมากๆ เหมือนกัน มีการประกวดแม่ประกวดเด็กกันให้ชุลมุน

คุณแม่คนไหนมีลูกดกก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นคุณแม่แห่งชาติ ได้รับเกียรติยศน้องๆ ศิลปินแห่งชาติเลยทีเดียว

ในสมัยพ่อแม่ผมและในสมัยตัวผมเอง มีกติกาของทางราชการว่าถ้ามีพี่น้องพ่อแม่เดียวกันเรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกันสามคนพร้อมกัน น้องคนที่สามจะได้รับยกเว้นค่าเล่าเรียน เพื่อเป็นการประหยัดเงินของครอบครัว ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งเสริมทางอ้อมให้ครอบครัวไม่รู้สึกลำบากยากเข็ญที่จะมีลูกหลายคน เพราะอย่างน้อยทางราชการก็ช่วยดูแลการศึกษาเล่าเรียนของลูกคนที่สามเป็นพิเศษ

เสียดายว่าบ้านผมมีลูกเพียงแค่สองคนคือผมกับน้องชาย เราทั้งสองคนจึงไม่เคยได้รับยกเว้นค่าเล่าเรียนด้วยสาเหตุที่ว่า

ทุกวันนี้ผมก็ห่างจากโรงเรียนมาเสียมากแล้วจึงไม่ทราบว่ากติกานี้ยังมีอยู่หรือไม่ ถ้าไม่มีหรือยกเลิกไปแล้ว อีกไม่กี่วันข้างหน้าอาจมีคนนำขึ้นมาเป็นประเด็นสนทนาเพื่อย้อนกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้

เห็นไหมครับว่าเพียงชั่วระยะเวลาสองชั่วคน จำนวนประชากรและนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับการเพิ่มหรือการลดประชากรก็กลับไปกลับมาถึงสองตลบแล้ว จากสมัยเชื่อผู้นำชาติพ้นภัย เรามีประชากรประมาณยี่สิบล้านคน เราเร่งเพิ่มจำนวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนถึงยุคที่ผมเป็นนักเรียนชั้นประถมมัธยมจำนวนประชากรมาอยู่ที่ตัวเลขสามสิบห้าล้านคน จากนั้นก็ขยับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเดือดร้อนถึงถุงยางมีชัยต้องทำหน้าที่อย่างแข็งขัน เพื่อลดจำนวนคนเกิดให้ต่ำกว่าร้อยละสองหรือร้อยละสองเศษซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากังวลในขณะนั้น

ผ่านไปไม่กี่สิบปี อัตราร้อยละของเด็กเกิดใหม่เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนกับจำนวนประชากรแล้วเหลือเพียงแค่ร้อยละหนึ่งเท่านั้น

จากยุคสมัยที่เราเคยมีเด็กเกิดใหม่ปีละ 1,000,000 คน เวลานี้โดยเฉลี่ยเหลือเพียงแค่ปีละ 500,000 คนเท่านั้น

มหาวิทยาลัยหลายแห่งหาคนเข้าเรียนยากเต็มทีแล้ว

เป็นอันว่าเราย้อนกลับมาถึงยุคที่ต้องเร่งเพิ่มจำนวนประชากรขึ้นอีกแล้ว ไม่มีอะไรใหม่ในโลกนี้จริงๆ ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในยุคสมัยของจอมพล ป. ได้วนกลับมาอีกครั้งหนึ่งในยุคของพลเอก ป.

นายทหารใหญ่สองท่านนี้มีอะไรคล้ายกันมากอยู่นะครับ

อ่านบทความวันนี้แล้วอย่ามัวร่ำไร รีบปิดฟืนปิดไฟช่วยกันสร้างชาติเถอะครับ

ระหว่างอยู่ในความมืด ขอให้ร้องเพลงปลุกใจรักเมืองไทยชูชาติไทยไปด้วย

รับรองว่าจะสนุกนักแล