ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | รัสเซียจุดชนวนสงครามใหญ่

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ศึกรัสเซียกับยูเครนกำลังทำให้โลกเข้าใกล้สงครามใหญ่มากที่สุดในรอบหลายปี

เพราะไม่เพียงแต่ฝั่งรัสเซียจะเดินหน้าสร้างสถานการณ์ที่นำไปสู่การเผชิญหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง

ยูเครนก็มีมหาอำนาจประกาศตัวเป็นพันธมิตรขั้นส่งอาวุธช่วยรบอย่างกว้างขวางเหลือเกิน

นับเป็นเวลาเกือบเดือนแล้วรัสเซียส่งทหารล้อมยูเครนสามทิศพร้อมกัน

ทิศแรกคือส่งทหารรัสเซียไปเบลารุสซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของยูเครนโดยอ้างว่าซ้อมรบ

ทิศที่สองคือทางส่งทหารไปชายแดนยูเครนด้านตะวันออก

และทิศที่สามคือส่งทหารประชิดพรมแดนยูเครนทางใต้ด้วยเช่นกัน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการส่งทหารพร้อมรถถังไปประชิดชายแดนยูเครนทุกทิศคือการคุกคาม

แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือที่ตั้งของทหารรัสเซียห่างจากพรมแดนยูเครนเพียง 10 กิโลเมตรเท่านั้น

ไม่ต้องพูดถึงการซ้อมยิงขีปนาวุธระยะไกลในพื้นที่ซึ่งใกล้ชายแดนยูเครนเพียงนิดเดียว

ล่าสุด ประธานาธิบดีรัสเซียเพิ่งประกาศแต่งตั้งให้ภาคตะวันออกของประเทศยูเครนเป็นรัฐเอกราช

ยิ่งไปกว่านั้นก็คือมีคำสั่งให้กองทัพของประเทศยูเครนถอนกำลังจากดินแดนนี้ทั้งหมด เพราะเมื่อรัสเซียรับรองให้ยูเครนตะวันออกเป็นเอกราช กองทัพยูเครนก็เท่ากับเป็นฝ่ายรุกรานรัฐอื่นทันที

เห็นได้ชัดว่าคำประกาศของรัสเซียข้อนี้จุดไฟสงคราม เพราะไม่มีทางที่ยูเครนจะยอมให้รัสเซียประกาศความเป็นรัฐเอกราชให้ดินแดนในประเทศตัวเองแบบนี้ เหตุผลง่ายๆ คือการกระทำนี้เป็นคำสั่งแยกประเทศ มิหนำซ้ำยังเป็นการแยกประเทศที่เข้าข่ายฉีกประเทศด้วยกระดาษแผ่นเดียว

เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ลองนึกดูว่าจะเกิดอะไรหากจู่ๆ รัฐบาลมาเลเซียประกาศรับรองว่าปัตตานีและยะลาเป็นรัฐเอกราช ขอให้รัฐบาลไทยถอนทหารออกจากปัตตานีและยะลาให้หมด ไม่อย่างนั้นมาเลเซียก็จะถือว่าไทยเป็นฝ่ายรุกรานปัตตานีและยะลาจนกองทัพมาเลเซียจะช่วยขับไล่ไทยทันที

นอกจากรัสเซียจะสถาปนาความเป็นรัฐเอกราชให้สองแคว้นในภาคตะวันออกของยูเครน ปูตินยังประกาศว่ากองทัพยูเครนต้องถอนกำลังจากดินแดนแถบนี้ให้หมด ไม่อย่างนั้นก็มีโอกาสนองเลือด

โดยปูตินระบุว่าความรุนแรงในการทำศึกนั้นอาจถึงขั้นเลือดท่วมเมืองหลวงของยูเครนเลยทีเดียว

แน่นอนว่าคำประกาศทั้งหมดของปูตินเป็นการจุดชนวนสงคราม เพราะยูเครนหรือประเทศไหนๆ ย่อมไม่มีวันยอมให้ใครทำกับประเทศตัวเองแบบนี้ ยูเครนจึงต้องปฏิเสธคำประกาศของรัสเซียแน่ๆ เช่นเดียวกับไม่มีทางถอยทหารออกจากภาคตะวันออกของประเทศยูเครนอย่างที่รัสเซียต้องการ

ไม่ต้องสงสัยว่ารัสเซียทำแบบนี้เพราะประเมินว่ายูเครนไม่กล้ารบปกป้องตัวเอง และเมื่อคำนึงว่ารัสเซียมีทหารราบ 850,000 นาย ขณะที่ยูเครนมีเพียง 200,000, รัสเซียมีรถถัง 12,420 คัน ส่วนยูเครนมี 2,596 คัน ก็เป็นไปได้ที่รัสเซียจะมองว่าต่อให้มีการรบเกิดขึ้น ยูเครนก็ไม่มีทางชนะได้เลย

ล่าสุดของล่าสุด ประธานาธิบดีรัสเซียสั่งการให้ทหารรัสเซียเคลื่อนทัพเข้าสองแคว้นในประเทศยูเครนคือ “โดเนตสค์” และ “ลูฮานสค์” ไปในวันอังคาร 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นั่นเท่ากับรัสเซียได้ “ยึด” ยูเครนภาคตะวันออกเป็นของรัสเซียโดยพฤตินัยไปเรียบร้อยแล้ว

ต่อให้จะไม่พูดคำนั้นออกมาตรงๆ

เพื่อที่จะสร้างข้ออ้างว่ารัสเซียไม่ได้ใช้กำลังยึดภาคตะวันออกของยูเครน

สภารัสเซียกำลังร่างสนธิสัญญาระหว่างรัสเซียกับสองแคว้นยูเครนความยาว 17 หน้า ซึ่งมีใจความที่จะนำไปสู่การตั้งฐานทัพรัสเซีย, การป้องกันทางทหารร่วมกัน และการยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

เมื่อสนธิสัญญาระหว่างรัสเซียกับสองแคว้นในประเทศยูเครนเสร็จสิ้นลง รัสเซียก็จะสามารถอ้างได้อย่างเต็มที่ว่าไม่ได้ส่งทหารไปยึดสองแคว้นในยูเครนเป็นของตัวเอง เพราะสองแคว้นคือรัฐเอกราช และสนธิสัญญาคือการตัดสินใจของรัฐเอกราชที่จะร่วมมือทางเศรษฐกิจและทหารกับรัสเซีย

สรุปแบบสั้นๆ เนื้อหาของสนธิสัญญาฉบับนี้เปิดทางให้รัสเซียเคลื่อนกองทัพเข้าไปในเขตแดนของสองแคว้นได้ และในกรณีที่มีภัยต่ออำนาจอธิปไตย รัสเซียกับทั้งสองแคว้นสามารถทำการป้องกันทางทหารร่วมกันได้ทันทีตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่สนธิสัญญานี้มีผลบังคับใช้

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียเปิดเผยว่าปูตินเพิ่งขออนุมัติให้รัฐสภารับรองการใช้กองทัพรัสเซียนอกประเทศ และถ้าเข้าใจว่ากระบวนการทางการเมืองในรัสเซียคือตรายางตามความต้องการปูติน ในที่สุดรัฐสภาก็จะอนุญาตให้ปูตินใช้ทหารรัสเซียปฏิบัติการนอกประเทศได้อย่างแน่นอน

ในแง่การทูตและการเมืองระหว่างประเทศ รัสเซียประกาศเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับดินแดนในประเทศยูเครนอย่าง “โดเนตสค์” และ “ลูฮานสค์” ซึ่งรัสเซียเป็นฝ่ายรับรองให้เป็นรัฐเอกราชเอง ต่อให้ไม่มีประเทศไหนในโลกยอมรับคำประกาศเอกราชเรื่องนี้เลยก็ตาม

เห็นได้ชัดว่ามาตรการทั้งหมดของปูตินแสดงความต้องการแยกดินแดนภาคตะวันออกของประเทศยูเครนมาเป็นรัฐใหม่ภายใต้อิทธิพลรัสเซีย

ยุทธวิธีของรัสเซียเริ่มต้นโดยการใช้กำลังประกาศความเป็นเอกราชของดินแดนในประเทศอื่น

จากนั้นก็ปฏิบัติกับดินแดนนั้นเหมือนเป็นประเทศจริงๆ

น่าสังเกตว่ารัสเซียไม่ได้บุกยูเครนเพื่อยึดยูเครนมาเป็นดินแดนของตัวเองตรงๆ แต่รัสเซียผลักดันให้คนรัสเซียในประเทศยูเครนก่อกบฏแบ่งแยกดินแดน จากนั้นก็สนับสนุนอาวุธให้กบฏต่อสู้กับรัฐบาลยูเครน

และในที่สุดก็รับรองพื้นที่ในเขตกบฏให้เป็นรัฐเอกราชโดยมีรัสเซียให้ความคุ้มครอง

ในกรณียูเครน ประวัติศาสตร์ของรัสเซียคือประวัติศาสตร์แห่งการสร้างสถานการณ์เพื่อกร่อนเซาะประเทศยูเครนให้อ่อนแอลง ผลของการกร่อนเซาะทำให้รัสเซียแผ่แสนยานุภาพ หรือมี “เขตอิทธิพล” เหนือภูมิภาคเพื่อแย่งชิงน้ำมัน, ก๊าซ หรือแม้แต่ผลประโยชน์ทางการเมือง

รัสเซียยึดดินแดนยูเครนด้วยวิธีลวงโลกที่แทบไม่มีประเทศใดในโลกสนับสนุนเลย จะยกเว้นก็แต่ซีเรียและนิการากัวซึ่งล้วนเป็นประเทศที่ปกครองด้วยผู้นำที่คลุ้มคลั่ง, บ้าสงคราม และอยู่ใต้อิทธิพลของรัสเซียทั้งคู่ แต่นอกจากนี้แล้วไม่มีใครประกาศตัวเป็นพันธมิตรกับรัสเซียเลย

กองทัพยูเครนมีกำลังพลและอาวุธน้อยจนไม่อาจเทียบได้กับรัสเซีย

แต่สิ่งที่ยูเครนมีและรัสเซียไม่มีก็คือพันธมิตรจากประเทศใหญ่น้อยทั่วโลก

ยูเครนที่ต้องรบกับรัสเซียคือยูเครนที่ได้อาวุธสนับสนุนจากสหรัฐ, แคนาดา, ลิทัวเนีย ฯลฯ อย่างที่ไม่มีวันเกิดขึ้นกับรัสเซียเลย

แม้อาวุธที่ประเทศเหล่านี้ให้ยูเครนจะเป็นอาวุธปืนมากกว่าอาวุธหนักอื่นๆ จนไม่มีวี่แววว่ายูเครนจะต้านทานรัสเซียที่มีทั้งรถถัง, ยานเกราะ, ขีปนาวุธ ฯลฯ

แต่ทั้งหมดนี้คือสัญญาณว่ายูเครนกำลังเผชิญหน้ารัสเซียโดยมีประเทศสนับสนุนอีกมาก ถึงแม้จะไม่มีประเทศไหนพูดถึงสงครามก็ตาม

กองเชียร์ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กลายเป็นกองเชียร์รัสเซีย โทษว่าต้นเหตุของปัญหานี้คือสหรัฐอเมริกา แต่สหรัฐไม่ได้ส่งรถถังบุกยูเครน ไม่ได้เป็นคนประกาศรับรองรัฐเอกราชของฝ่ายแบ่งแยกดินแดน ไม่ได้ส่งทหารล้อมยูเครนทุกสารทิศ และไม่มีเหตุผลที่จะโทษว่าสหรัฐสร้างปัญหาอย่างรัสเซียได้เลย

จริงอยู่ว่าสหรัฐเป็นแถวหน้าในการต่อต้านไม่ให้รัสเซียบุกยูเครน แต่สหรัฐก็ประกาศตั้งแต่ต้นว่าจะไม่ส่งกำลังทหารไปยูเครน สัญญาณที่สหรัฐจะมีปฏิบัติการทางทหารในยูเครนจึงยังไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้น ถึงแม้รัสเซียจะส่งทหารบุกยูเครนแล้ว และสหรัฐจะมีฐานทัพในโปแลนด์ก็ตาม

นาโตเป็นองค์กรที่คนจำนวนมากเชื่อว่าจะเป็นหัวหอกในการสู้กับกองทัพรัสเซีย

แต่ยูเครนไม่ได้เป็นสมาชิกนาโต โอกาสที่นาโตจะส่งกองกำลังไปช่วยยูเครนรบรัสเซียจึงเป็นไปไม่ได้

เว้นเสียแต่ว่านาโตจะรีบดำเนินการรับยูเครนเป็นสมาชิก แต่นั่นก็จะยกระดับความไม่พอใจของปูตินขึ้นทันที

กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติอาจเป็นทางออกของปัญหานี้ที่ดี แต่ปัญหาในกรณีนี้คือรัสเซียเป็นคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ โอกาสที่ตัวแทนรัสเซียในสหประชาชาติจะขัดขวางเรื่องนี้จึงมีมากเหลือเกิน

การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเป็นมาตรการที่เป็นไปได้ที่สุดในปัจจุบัน และถึงแม้ประธานาธิบดีไบเดนจะประกาศว่าจะใช้มาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน รัสเซียก็กุมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติไว้มากจนอาจตอบโต้ด้วยการยุติการส่งน้ำมันและก๊าซไปในยุโรปทันที

เห็นได้ชัดแล้วว่ารัสเซียวางโครงสร้างพื้นฐานที่จะทำให้รัสเซียสามารถตั้งฐานทัพในภาคตะวันออกของยูเครน รัสเซียไม่มีแววว่าจะถอยเรื่องนี้ และสหรัฐหรือนาโตก็ยากที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ด้วย

จึงเป็นไปได้ที่ปัญหายูเครนจะยืดเยื้อยาวนาน หากไม่มีใครใช้กำลังเพื่อจัดการปัญหาได้จริงๆ