จับตาทหารเอาไว้/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

จับตาทหารเอาไว้

 

ด้วยทัศนะที่เห็นว่า “คนไม่เท่ากัน” โรฮิงญาจึงไม่มีค่าเท่ามนุษย์ โรฮิงญาจะเทียบอะไรกับนายทหารยศสูงในกองทัพ โรฮิงญาไม่ได้อยู่ในสายตา ทำไม พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ถึงต้องสืบสวนสอบสวนอย่างเอาเป็นเอาตายกับคนในกองทัพ

นั่นคือความเห็นของคนเลือดข้น ศิษย์เก่าเตรียมทหารคนหนึ่ง

เมื่อไม่มีที่ให้ยืนในแผ่นดินไทย “ปวีณ” จึงต้องลี้ภัย!

 

ควรจะต้องตระหนักว่า ประเทศนี้ถูกครอบงำด้วย “ทหาร” มาไม่น้อยกว่า 75 ปี

“ทหาร” เป็นกลุ่มอาชีพหรือกลุ่มผลประโยชน์หนึ่งในสังคมที่มีการจัดตั้งเป็นระบบ มีระเบียบวินัย มีการบังคับบัญชาที่เข้มแข็ง และมีอาวุธหนัก เมื่อผลประโยชน์ถูกกระทบ ทหารมักจะเคลื่อนพลเข้าปกป้องทุกครั้งโดยอ้าง “ความมั่นคงของชาติ”

ยังไม่เคยกลุ่มใดๆ ในสังคมไทยที่สามารถท้าทายอำนาจทหารได้ ยกเว้นเมื่อครั้งที่ยังต่อสู้อยู่กับพลพรรคของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)

ก่อนรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ก็ไม่มีปัญหาชนิดคอขาดบาดตายอะไรของชาติที่จะเป็น “เงื่อนไข” ให้ก่อการ

เพียงแต่ภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ กับ พ.อ.เผ่า ศรียานนท์ “ตกกระป๋อง” ทหารที่ไปร่วมรบกับญี่ปุ่นที่มณฑลพายัพถูกปลด รัฐบาลลดรายจ่าย ลดกำลัง ลดอำนาจของกองทัพพร้อมห้ามทหารประจำการดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ต้องไม่ลืมอีกอย่างหนึ่งว่าที่ “ผิน-เผ่า” ปฏิบัติการยึดอำนาจจากรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ สำเร็จนั้น ยังต้องอาศัย “ทหารประจำการ” อย่าง พ.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ และ พ.อ.ถนอม กิตติขจร ผู้บังคับการกรมนักเรียนนายร้อย

คณะรัฐประหาร 2490 อ้างว่า ทำเพื่อกวาดล้างการทุจริตเหลวแหลกและกำจัดความเดือดร้อนให้ประชาชน

เช่นเดียวกับตอนที่แย่งยึดอำนาจจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม เจ้านายผู้ชุบผู้สร้างชีวิตให้ “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์” ก็อ้างว่า เพื่อทำความสะอาดกวาดล้างการเลือกตั้งสกปรกและอิทธิพลของจอมพล ป.

นับตั้งแต่ปี 2490 เป็นต้นมา บนกระดานการเมืองไทย ตัวละครสำคัญที่ยึดครอง “เวลา” ที่อยู่ใน “อำนาจรัฐ” นานที่สุดคือ ทหาร

 

ในช่วง 75 ปี ทหารนั่งเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” เสียเกือบ 50 ปี

บทเพลง “คืนความสุขให้ประเทศไทย” ที่แต่งเนื้อร้องโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีต ผบ.ทบ.และหัวหน้าคณะรัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 จึงเป็นแค่ ประจักษ์หลักฐานการฉ้อฉลทางอำนาจ

…เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา…

แล้วไง! ทั้งประเทศต้องก้มหน้ารับกับก้าวเดินที่ผิดพลาด

“คสช.” ปูทางสืบทอดอำนาจด้วยรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ให้ 250 ส.ว.โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ นั่นก็น่าจะรู้กันตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่า “ผล” คือชะตากรรมที่ประสบอยู่ในวันนี้

แต่เมื่อมี “ผู้รู้เท่าทัน” และลุกขึ้นทักท้วง คสช.ก็จับขังคุกหมด กว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย หมูก็เข้าปากหมาเป็นที่เรียบร้อย ถัดมาด้วยอานุภาพแห่งรัฐธรรมนูญ 2560 “ประยุทธ์” ก็สามารถแปลงร่างจาก “หัวหน้า คสช.” เป็น “นายกรัฐมนตรี” อีกวาระ

จนบัดนี้ผ่านไป 8 ปีกระจ่างใจแล้ว “เลวลง” ทั่วทุกด้าน

ไม่เว้นแม้กระทั่ง “ระบบยุติธรรม” ที่ตกต่ำ!

อันดับความโปร่งใส ที่ร่วงจากอันดับ 86 เป็น 104

มิหนำซ้ำ เมื่อมีคนลุกขึ้นพูดขุดคุ้ยต่อต้านผู้มีอำนาจ “คอร์รัปชั่น” กลับถูกทำร้ายปางตาย บางรายถูกจับ ถูกคุกคาม เจ้าหน้าที่รัฐมือสกปรกเห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ตีความเบี่ยงเบนบิดเบือน บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัดเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้าม ขณะที่สยบยอมให้กับคนมีอำนาจ ทำผิดให้เป็นถูก พลิกดำเป็นขาว

 

ต้องไม่ลืมว่า ก่อนจะมี “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นหัวหน้า คสช.ผู้นำรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 นั้น พวกเรา (พลเมือง) จำนวนหนึ่ง ทั้งร้อนใจและใจร้อน เชื่อคำคนจนพากันออกมา “ทำลาย” ความเป็นนิติรัฐ ขัดขวางการเลือกตั้ง ล้มเลือกตั้ง ชื่นชมการใช้กำลังเข้าหักหาญ สนับสนุนรัฐประหารกำจัดคนและฝ่ายที่ไม่ชอบให้สิ้นซาก

ผู้ต่อต้านขัดขวางรัฐประหารกลายเป็น “ตัวประหลาด” คนที่ทำลายหลักนิติรัฐเป็น “ฮีโร่”

ทั้งๆ ที่การใช้กำลังเข้าล้มล้างการปกครอง ฉีกรัฐธรรมนูญเป็นอาญาแผ่นดินร้ายแรงถึงขั้น “ประหารชีวิต” หรือ “จำคุกตลอดชีวิต” แต่ไม่มีการดำเนินคดี

เหตุใดอาญาเอื้อมไปไม่ถึง!

และประเทศจะยังต้องเดินวกวนอยู่อย่างนี้ต่อไปอีกกี่ปี?

 

จะว่าไปแล้ว “รัฐประหาร” ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งนั้นไม่ได้มีความสลับซับซ้อนอะไร พิสูจน์ได้จากข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์รอบ 75 ปีมานี้ว่าเกิดจากผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลในกองทัพ

จะเลี้ยงดีเลี้ยงนานแค่ไหนก็ไม่เชื่อง!

“จอมพล ป.” เคยปูนบำเหน็จตบรางวัลให้ “สฤษดิ์” จนล้นคอหอย ติดยศ “จอมพล” ให้ตั้งแต่อายุแค่ 47 แต่งตั้งให้เป็น ผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งฯ อิ่มแปล้อยู่เกือบ 10 ปี ยังอวยยศให้ทั้งพลเรือเอก พลอากาศเอก ในที่สุดจบลงที่ “ผลประโยชน์” กับ “ความทะเยอทะยาน”

เมื่อการฉ้อฉลคือครรลอง ทุกครั้งที่ก่อรัฐประหารสำเร็จก็จะเขียนกฎหมายนิรโทษความผิดให้ตัวเองจนเป็นธรรมเนียม รัฐประหาร=ไม่ผิด ส่วนผู้ต่อต้านรัฐประหาร=ผิดอาญาแผ่นดิน ฐานยุยงปลุกปั่นให้กระด้างกระเดื่อง

สั่งสมจนเป็น “วัฒนธรรมจำนน”

ยอมก้มหัวให้ผู้มีอำนาจ สร้างจารีตให้ทุกคนทุกองค์กรต้องศิโรราบให้คณะรัฐประหารทุกครั้งไป พร้อมกับการเขียนบทหลอกลวง สังคมจะดีขึ้น มีกินมีใช้ สุขสบายถ้วนหน้า เช่นเดียวกับที่ว่า…เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา…

มีระบบการศึกษาก็สั่งให้การศึกษารับใช้อำนาจ

สอนให้ก้มหัวต่ำๆ เอาไว้ อย่าเงยหน้าขึ้นสบตา อย่าถามไถ่ให้มากความ อย่าเที่ยวตามสำรวจตรวจสอบทรัพย์สินและการจัดซื้อจัดจ้าง!?!!