KIMI ‘ล็อกดาวน์’ / ภาพยนตร์ : นพมาส แววหงส์

นพมาส แววหงส์
Claudette Barius / Warner Bros

ภาพยนตร์

นพมาส แววหงส์

 

KIMI

‘ล็อกดาวน์’

 

กำกับการแสดง

Steven Soderbergh

นำแสดง

Zoe Kravitz

Rita Wilson

Erika Christensen

 

หนังเรื่องใหม่ของผู้กำกับฯ สตีเฟน ซอเดอร์เบิร์ก (Erin Brockovich, Ocean 11, 12, 13, Traffic) วางท้องเรื่องให้เกิดขึ้นในช่วงล็อกดาวน์ในเมืองซีแอตเติล ทางฝั่งตะวันตกของสหรัฐ ระหว่างการระบาดของโควิด-19 ซึ่งแปรโฉมหน้าการใช้ชีวิตของมนุษยชาติในศตวรรษที่ 21ไปอย่างนึกไม่ถึง ไม่มีใครคาดคิดเลยทีเดียวเจียว

อาชีพคนทำหนังเองก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับข้อจำกัดในการถ่ายทำ และความกลัวจะกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อและทำให้เกิดคลัสเตอร์ใหม่ๆ ไหนๆ ก็ไหนๆ ล็อกดาวน์ก็ล็อกดาวน์ไปสิ เขียนบทให้เข้ากับสมัยเสียเลย จะได้หมดปัญหาไปเปลาะหนึ่ง

แอนเจลา ไชลด์ส (โซอี้ คราวิตซ์) ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในช่วงล็อกดาวน์ในอพาร์ตเมนต์ที่พรั่งพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ไฮเทค

ทั้งนี้ เธอเป็นพนักงานที่คอยรับฟังข้อมูลที่ “สตรีม” ส่งมาให้เธอตรวจสอบและแก้ปัญหาในระบบการใช้งานของระบบคอมพิวเตอร์แบบผู้ช่วยส่วนตัวในการสั่งงานต่างๆ

 

“คิมิ” (KIMI) เป็นระบบใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวใช้งานและกำลังจะเอาเข้าตลาดนักลงทุน ประมาณเดียวกับระบบที่ใช้ๆ กันอยู่ในปัจจุบัน คือ Alexa และ Siri ที่เราเห็นมีใช้อยู่ในหนังแหละค่ะ

วันๆ ผู้ใช้ก็จะเรียกหา “คิมิ” ให้ทำโน่นทำนี่ให้ เช่น เล่นเพลงชื่อโน้นชื่อนี้ให้ฟัง สั่งให้หาข้อมูลให้ สั่งให้เปิดไฟ เปิดทีวี รวมทั้งงานสารพัดที่เชื่อมต่ออยู่ในระบบ

พูดง่ายๆ คือ เป็นคนรับใช้ส่วนตัวที่ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอน ไม่ต้องกิน ไม่มีวันหยุด ไม่ต้องหยุมหยิมเรื่องมาก แล้วยังมีประสิทธิภาพของเอไอ หรือ “สติปัญญาเทียม” อย่างที่มนุษย์ทำไม่ได้นั่นแหละ

วันๆ แอนเจลามีงานทำโดยกักตัวอยู่ในโลกที่ไม่ต้องเจอะเจอหน้าผู้คน ได้แต่มองออกนอกหน้าต่างไปเจอตึกอพาร์ตเมนต์ฝั่งตรงข้ามถนน เห็นผู้คนใช้ชีวิตแบบที่แทบทุกคนเอาแต่ยืนมองออกนอกหน้าต่างดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโลกภายนอก

เธอพูดคุยกับแม่ (โรบิน กิฟเวน) ผู้ไม่ค่อยมีเวลาว่างให้ลูกมากนักทางโทรศัพท์ ปรึกษาจิตแพทย์ทางโทรศัพท์ และแม้แต่โทรคุยกับหมอฟันทางโทรศัพท์เพื่อบอกอาการฟันอักเสบเป็นหนอง โดยไม่ยอมออกจากห้องไปไหน

แม้แต่มีเดตกับหนุ่มหล่อจากอพาร์ตเมนต์ฝั่งตรงข้ามในห้องนอนของเธอเอง และลอกผ้าปูที่นอนออกซักทันทีเมื่อเสร็จกิจกรรมโดยไม่รอให้เขาออกจากห้องไปก่อนด้วยซ้ำ

 

นอกจากการล็อกดาวน์ตามมาตรการป้องกันโควิดแล้ว แอนเจลายังมีประเด็นส่วนตัวร้ายแรงที่กลายเป็นบาดแผลในใจทำให้เธอไม่กล้าก้าวออกจากบ้านออกไปข้างนอก

เธอเป็นโรคกลัวชุมชน (agoraphobia) จากประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานของการถูกจู่โจมประทุษร้าย จนมีอาการทางจิตที่ต้องพูดคุยปรึกษาจิตแพทย์เป็นประจำ

แอนเจลาทำงานฝ่ายสนับสนุนด้านเทคโนโลยีของเธอไป โดยเรียกหา “คิมิ” ให้คอยช่วยบริการในการชีวิตด้านต่างๆ

“คิมิ” กำลังจะเข้าตลาด ดังนั้น เจ้าของกิจการจึงไม่อยากให้เกิดข่าวอะไรที่จะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นแม้แต่น้อย

แต่ให้เผอิญแอนเจลาเกิดสะดุดใจกับ “สตรีมข้อมูล” ชิ้นหนึ่ง และจับความไม่ชอบมาพากลซึ่งอาจเป็นอาชญากรรมอุกฉกรรจ์ได้

ทุกคนบอกให้เธอทำเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสีย

แต่บาดแผลในใจเธอก็ทำให้เธอทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้

และนั่นคือความพยายามเผชิญหน้าและเอาชนะใจตัวเองในเรื่องปัญหาความกลัวชุมชน และออกไปสู้หน้ากับโลกกว้างอีกครั้ง

 

หนังเรื่องนี้เป็นผลงานของนักเขียนบทชื่อดัง เดวิด โคเอปป์ (Jurassic Park, Mission Impossible, Indiana Jones) บทหนังอีกเรื่องของเขาในแนวคล้ายคลึงกับหนังเรื่องนี้คือ Panic Room (Jodie Foster) ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในขอบเขตจำกัดของบ้านและห้องแคบๆ ห้องเดียว และทำให้คนดูเครียดและเกร็งแทบหายใจไม่ออกทีเดียว

ในช่วงครึ่งแรก แอนเจลาไม่ได้ออกไปไหนเลย แม้เธอจะพยายามออกไปหลายครั้ง แต่งตัวรัดกุม สวมแมสก์ป้องกันโควิด เปิดล็อกประตูหลายชั้น ฯลฯ แต่ก็ลงเอยด้วยการไม่กล้าก้าวออกนอกห้องนอกตึกทุกครั้ง

และเมื่อเธอเอาชนะความกลัวของตัวเองได้ เธอก็ต้องเจอเข้ากับอุปสรรคต่างๆ นานา ที่พยายามขัดขวางเธอไว้ไม่ให้ทำตามความตั้งใจได้สำเร็จ

 

สิ่งที่แอนเจลาต้องเผชิญและดูจะแทบหนีไปไหนไม่พ้น คือเทคโนโลยีการติดตามตัวของโลกยุคไฮเทค ไม่ว่าจะเป็นมือถือ หรือกล้องรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งทุกมุมเมือง

นอกจากโซอี้ คราวิตซ์ ซึ่งเคยเห็นหน้าในหนังมาบ้างเล็กๆ น้อยๆ แล้ว นักแสดงอีกคนที่คุ้นหน้าคือ ริต้า วิลสัน ในบทที่มีชื่อเสียงเรียงนามแบบที่ก่อนจะได้เห็นตัว คาดว่าต้องเป็นคนเชื้อสายอินเดีย เลยนึกแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นริต้า วิลสัน แต่ดูอีกที หน้าตาแบบริต้าก็พอจะผ่านว่ามีเค้าความเป็นอินตรเดียอยู่เหมือนกัน

แอนเจลาเจอเข้ากับเรื่องราวที่ต้องหนีสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอดจากศัตรูตัวร้าย และนั่นเป็นความสนุกตื่นเต้นของหนังในครึ่งหลัง

แถมที่สะใจคนดูที่สุดเห็นจะได้แก่การต่อสู้กลับของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว ซึ่งต่อกรกับปรปักษ์ที่มีพละกำลังมากกว่าและมีแขนขาเหมือนหนวดปลาหมึกและมีหูตาเหมือนสับปะรดอีกต่างหาก

เป็นหนังระทึกใจแบบธริลเลอร์เล็กๆ ความยาวเพียงชั่วโมงครึ่ง ของสตีเฟน ซอเดอร์เบิร์ก ซึ่งเหมือนจะทำแก้เบื่อให้ตัวเองและคนดูในช่วงล็อกดาวน์ล่ะค่ะ

ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น