จากบางกอกถึง Krung Thep Maha Nakorn | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

ชื่อ “บางกอก” นั้น บางท่านว่าเพี้ยนมาจาก “บางเกาะ” เพราะหลังจากการขุดคลองลัด จากบริเวณหน้าปากคลองบางกอกใหญ่ในปัจจุบัน คือบริเวณป้อมวิชัยประสิทธิ์ ละแวกวัดอรุณราชวราราม ไปจนถึงปากคลองบางกอกน้อย แถวๆ โรงพยาบาลศิริราช ก็ทำให้เกิดสภาพของพื้นที่ที่กลายเป็นเกาะขึ้นมา จนถูกเรียกว่าบางเกาะไปในที่สุด

อย่างไรก็ตาม วัดอรุณฯ ที่ตั้งอยู่ตรงปากคลองบางกอกใหญ่นั้น เดิมมีชื่อว่า “วัดมะกอก” ซึ่งก็หมายความว่า เป็นวัดที่สร้างขึ้นในพื้นที่ที่มีต้นมะกอกมาก (คงจะเป็นต้นมะกอกน้ำ) แถมต่อมาเมื่อมีการขุดคลองแล้วก็มีการสร้างวัดใหม่ขึ้นภายหลัง ในตำบลเดียวกัน บริเวณคลองบางกอกใหญ่ จึงเรียกวัดใหม่นี้ว่า วัดมะกอกใน (ปัจจุบันคือ วัดนวลนรดิศ) แล้วเรียกชื่อวัดมะกอกเดิม หรือวัดอรุณฯ ว่า วัดมะกอกนอก

คำว่า “บางกอก” ไม่ว่าจะเป็นชื่อย่าน หรือชื่อคลอง จึงควรจะเพี้ยนมาจาก “บางมะกอก” หมายถึง ย่านที่มีต้นมะกอกเยอะมากกว่า

 

น่าสนใจว่า การขุดคลองลัด ซึ่งต่อมาได้ขยายใหญ่กลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายหลักในปัจจุบัน ก็ได้ทำให้ย่านบางกอกใหญ่โต และสำคัญขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด กรุงศรีอยุธยาก็ได้ยกฐานะขึ้นเป็นเมือง พร้อมกับตั้งชื่อเสียใหม่ว่า “ทณบุรี” (ต่อมาคือ ธนบุรี) ดังปรากฏในกฎหมายพระไอยการอาชญาหลวง ส่วนหนึ่งในกฎหมายตราสามดวง ที่ตราขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.2091-2111)

การยกฐานะขึ้นเป็นเมืองนี้แสดงให้เห็นว่า กรุงศรีอยุธยาเห็นความสำคัญ และในกฎหมายฉบับที่ว่านี่เองที่ระบุตำแหน่ง “นายพระขนอนทณบุรี” คือนายด่านเก็บภาษี คู่กับขนอนน้ำ ขนอนบกต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยา

หมายความว่า อยุธยาได้นับบางกอกเข้าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งในอำนาจรัฐของตนเอง จนถึงกับต้องตั้งเจ้าหน้าที่เก็บภาษีไปประจำอยู่ที่นั่น และจะค่อยๆ ทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ จนมีตำแหน่ง “เจ้าเมือง” ในที่สุด

ถึงแม้จะมีอำนาจรัฐที่เข้ามาพร้อมกับการเปลี่ยนชื่อเมืองเสียใหม่ว่า “ธนบุรี” แล้ว แต่ชื่อ “บางกอก” ก็ยังคงถูกใช้ควบคู่กันไปอยู่ดีนะครับ

หลักฐานก็อย่างเช่น ในเอกสารที่มีชื่อว่า “ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม” (Histoire Naturelle et Politique du Royaume de Siam) ที่เขียนขึ้นโดยนิโกลาส์ แชร์แวส (Nicolas Gervaise) นักเดินทางชาวฝรั่งเศส ที่ติดตามคณะเผยแผ่ศาสนาเข้ามาในกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ.2224-2229 ตรงกับสมัยของสมเด็จพระนารายณ์นั้น ได้มีข้อความระบุว่า

“บางกอก (BANKOC) เป็นสถานที่อันมีความสำคัญที่สุดแห่งราชอาณาจักรสยามอย่างปราศจากข้อสงสัย เพราะว่าในบรรดาเมืองท่าด้วยกันแล้ว ก็เป็นแห่งเดียวเท่านั้นที่พอจะป้องกันข้าศึกได้ ผังเมืองนั้นมีส่วนยาวมากกว่าส่วนกว้าง มีอาณาบริเวณไม่เกินครึ่งลี้ มีกำแพงกั้นเฉพาะทางด้านชายแม่น้ำใหญ่ ซึ่งไหลผ่านตัวเมืองทางด้านทิศตะวันออกกับทิศใต้ เหนือจากปากอ่าวขึ้นมาประมาณ 12 ลี้ ตรงแหลมที่แม่น้ำแบ่งสายทางแยกนั้นมีพื้นที่เป็นรูปจันทร์ครึ่งซีก เป็นทำเลพอป้องกันได้ มีป้อมอยู่เพียงแห่งเดียว (หมายถึงป้อมวิชัยประสิทธิ์ ซึ่งในสมัยพระนารายณ์นั้นเรียกว่า ป้อมวิชเยนทร์-ผู้เขียน) มีปืนใหญ่หล่ออยู่ 24 กระบอก”

ดังนั้น ถึงจะมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ธนบุรี” แต่ชาวต่างชาติก็ยังเรียกว่า “บางกอก” ซึ่งก็คงจะเป็นด้วยผู้คนทั่วไปในพื้นที่ชุมชนเมืองบางกอกในสมัยนั้น ที่ใช้ชื่อดั้งเดิมเป็นปกติ ฝรั่งและชนชาติอื่นๆ จึงได้เรียกตามนั่นแหละครับ

 

หลังจากรัชกาลที่ 1 ขึ้นครองราชย์ และได้สร้างเสาหลักเมือง และพระบรมมหาราชวัง ลงที่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาของบางกอก จึงทำให้ปัจจุบันเรียกพื้นที่ส่วนนี้ว่า “พระนคร” แต่ในยุคกรุงศรีอยุธยานั้น พื้นที่ฟากนี้ไม่ได้เรียกว่า พระนคร เพราะยังไม่ได้มีปราสาทราชวังใดๆ

ในกลอนเพลงยาวของหม่อมภิมเสน ซึ่งเป็นกวีในแผ่นดินสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (หรือที่มักเรียกกันอย่างลำลองว่า พระเจ้าเอกทัศ กษัตริย์องค์สุดท้ายของอยุธยา) ที่เดินทางจากพระนครศรีอยุธยาไปยังเพชรบุรี แล้วได้แวะค้างคืนที่เมืองธนบุรีนั้น มีกลอนบทหนึ่งว่า

“ถึงบางจีนชื่อเช่นเหมือนชื่อพี่ ชื่อสิมีนึกหน้าแล้วแฝงหน้า

ท่านบอกบทกำหนดสักวามา จะถึงท่าประทับที่บุรีธน”

ชื่อ “บางจีน” ที่ปรากฏอยู่ในกลอนข้างต้นนั้น คือพื้นที่ฝั่งตรงข้ามฟากแม่น้ำของบางกอก (หรือบุรีธน ซึ่งหมายถึง ธนบุรี ที่ปรากฏอยู่ในกลอน) ซึ่งก็คือย่านที่มีคนจีนอาศัยอยู่ ดังเป็นที่รู้กันดีว่าเมื่อคราวที่รัชกาลที่ 1 จะสร้างพระบรมมหาราชวังนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า “ไล่ที่ทำวัง” คือการย้ายพวกชาวจีนที่อยู่อาศัยมาแต่เดิม ออกไปอยู่ที่สำเพ็ง (หมายถึงบริเวณวัดสำเพ็ง คือวัดปทุมคงคา ย่านตลาดน้อย)

และเมื่อรัชกาลที่ 1 ได้สร้าง “พระนคร” ของตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้มีการสถาปนาชื่อสำหรับพระนครออกมา ซึ่งมักจะเรียกันอย่างย่นย่อว่า กรุงรัตนโกสินทร์บ้าง กรุงเทพมหานครบ้าง โดยทุกชื่อนั้นก็ล้วนแล้วแต่หมายถึง พระนครของราชวงศ์จักรีเหมือนทั้งนั้น

ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะชื่อเหล่านี้ถูกสถาปนาขึ้นเพื่อใช้ในพิธีกรรม เช่น การเขียนเป็นจารึกในพระสุพรรณบัฏ เป็นต้น

ที่สำคัญคือ จารึกเหล่านี้ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อให้คนทั่วไปอ่านกันหรอกนะครับ อย่างที่บอกว่าเป็นของที่ทำขึ้นเพื่อใช้ในพิธีกรรม คือการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชื่อยาวๆ เหล่านี้ (เช่น ชื่อเต็มของกรุงเทพมหานคร ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่มีชื่อยาวที่สุดในโลก) จึงทำหน้าที่ในการผสมผสานตัวเองเข้ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ มากกว่าที่จะถูกใช้เรียกจริง

 

รัชกาลที่ 4 เคยอธิบายเอาไว้ว่า ชื่อ “รัตนโกสินทร์” นั้น แปลว่า “เมืองที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต” ลักษณะเช่นนี้เทียบได้กับเมืองหลวงพระบาง ในประเทศลาว ซึ่งหมายถึงเมืองที่ประดิษฐานพระบาง อันเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อีกรูปหนึ่ง ที่มีอาณาบารมีเทียบเคียงกับพระแก้วมรกตได้ (ดังจะเห็นได้ว่า มีตำนานว่าผีอารักษ์ประจำพระพุทธรูปทั้งสององค์นี้ไม่ถูกกัน ปรากฏอยู่ในพงศาวดารไทยเลยทีเดียว)

และต้องอย่าลืมนะครับว่า รัชกาลที่ 1 เองนี่แหละที่เป็นผู้ไปอัญเชิญพระแก้วมรกตมาจากเวียงจันทน์ เมื่อครั้งรัชสมัยของพระเจ้าตากสิน

ชื่อ “รัตนโกสินทร์” นั้น จึงเป็นการนำเอาอาณาบารมีของพระแก้วมรกต สวมทับเข้าไว้กับพระนครที่พระองค์สร้างขึ้น

ในขณะที่ชื่อ “กรุงเทพมหานคร” นั้น อันที่จริงแล้วเป็นคำที่หมายถึงการสืบทอดเอาอาณาบารมีของ “กรุงศรีอยุธยา” มาใช้ เพราะคนอยุธยานั้นเรียกเมืองของตนเองว่า “กรุงเทพ” ซึ่งก็เป็นเรื่องที่คนในยุคต้นกรุงเทพฯ ทราบเป็นอย่างดี ดังปรากฏข้อความตอนพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยาใน พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งเป็นลูกของรัชกาลที่ 1 กับท้าวทรงกันดาล ดังความที่ว่า

“เอานามพระนครเดิมเป็นนามต้นว่า กรุงเทพมหานคร นามหนึ่งชื่อ บวรทวารวดี เหตุมีน้ำล้อมรอบดุจเมืองทวารวดีแต่ก่อน นามหนึ่งชื่อศรีอยุธยา เหตุเอานามเมืองสมเด็จพระรามนารายณ์อวตารมาประกอบเข้า ทั้งสามนามประมวลเข้าด้วยกัน จึงเรียกชื่อว่า กรุงเทพมหานคร บวรทวารวดีศรีอยุธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน”

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องตลกร้ายดีเหมือนกันที่ เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ 2 (พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.2275-2301) แห่งกรุงศรีอยุธยาส่งพระสงฆ์ไปประดิษฐานพุทธศาสนาสยามวงศ์ในลังกาทวีปนั้น ในเอกสารของพระองค์จะเรียกอยุธยาว่า “กรุงเทพ”

แต่เมื่อคราวที่รัชกาลที่ 2 ส่งพระสงฆ์ไปลังกา (น่าเชื่อว่าเมื่อครั้งที่ สุนทรภู่ยังเป็นเด็กอาจจะเคยได้เดินทางไปด้วย จนรู้เส้นทางเดินทาง และสภาพภูมิศาสตร์ในเกาะศรีลังกาเป็นอย่างดี จนสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการแต่งพระอภัยมณีได้) พระภิกษุเหล่านี้กลับเรียกกรุงรัตนโกสินทร์ว่า “อยุธยา”

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าพวกฝรั่งจะไม่รับรู้ หรืออาจจะไม่สนใจอะไรเหล่านี้นัก จึงได้เรียกความเป็น “พระนคร” ที่ถูกสถาปนาขึ้นใหม่ของรัชกาลที่ 1 ด้วยชื่อเดิม ซึ่งมีศูนย์กลางความเป็นชุมชนอยู่ที่อีกฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยาคือ “บางกอก” จนทำให้เรียกกรุงเทพฯ ว่า “Bangkok” มาจนกระทั่งทุกวันนี้นั่นเอง