‘ปิยบุตร’ มองชนชั้นนำ-อนุรักษนิยมไทย ปรับตัวอย่างไรก็ไม่ทันแล้ว? รัฐบาลสไตล์นี้จะประคองประเทศไปไม่ได้/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

‘ปิยบุตร’ มองชนชั้นนำ-อนุรักษนิยมไทย

ปรับตัวอย่างไรก็ไม่ทันแล้ว?

รัฐบาลสไตล์นี้จะประคองประเทศไปไม่ได้

 

ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวว่า ถ้าเปรียบกับการเลือกตั้งตอนปี 2562 ที่มี “แคมป์การต่อสู้ทางการเมือง” ระหว่างฝ่ายที่เอาการสืบทอดอำนาจ กับฝ่ายที่ไม่เอาการสืบทอดอำนาจของคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมมีความเห็นว่าการเลือกตั้งในปี 2565 หรือ 2566 ที่จะเกิดขึ้น รอบใหม่นี้มันจะเปลี่ยนไปจากเดิม มันจะไม่ได้เป็นการสู้ระหว่างการเอาหรือไม่เอาประยุทธ์แล้ว

แต่มันจะเป็นการต่อสู้ในเชิงว่าคุณต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองเศรษฐกิจในแบบทะลุทะลวงเชิงโครงสร้าง หรือต้องการเพียงแค่เลือกคนเข้าไปปะผุ บริหารจัดการตามช่วงเวลา

คำว่าฝ่ายประชาธิปไตยที่เคยใช้กันมา จะมีเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น

จะไม่ใช่เพียงแค่การสนับสนุนพรรคการเมืองหรือรัฐบาลที่เคยถูกยึดอำนาจเท่านั้น แต่ความหมายจะขยายกว้างกว่าเดิม

คนอาจจะสนใจว่าพรรคไหนสนับสนุนเรื่องการปฏิรูปสถาบัน กองทัพ ศาล หรือไม่ รวมถึงให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจอย่างเต็มที่หรือไม่ ทลายทุนผูกขาดด้วยไหม การจัดสรรทรัพยากรในประเทศลดความเหลื่อมล้ำและสวัสดิการเป็นอย่างไร

ถือเป็นเรื่องโครงสร้างภาพใหญ่หมดเลย การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นมันจะเป็นภาพแบบนี้ คือ ระหว่างการปะผุ กับฝ่ายที่จะรื้อโครงสร้าง

มันจะทำให้การเมืองไปได้ไกลมากกว่าเดิมมากกว่าปี 2562

 

พูดถึงสภาพการเมืองในปีนี้ ปิยบุตรมองว่า การเมืองในสถาบันการเมือง เช่น สภา รัฐบาล พรรคการเมือง จะเป็นปีที่ทุกฝ่ายทุกผู้เล่นมุ่งหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง

ส่วนตัวคิดว่า บทบาทของสถาบันทางการเมืองในปี 2564 ไม่ได้ตอบสนองข้อเรียกร้องของประชาชนจนทำให้ประชาชนสิ้นหวัง

ในปี 2565 ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นอีก สภาที่เคยจะเป็นความหวังของประชาชนก็จะคล้ายเมื่อปลายปีต่อเนื่องช่วงที่ผ่านมา นั่นคือองค์ประชุมไม่ครบ สภาล่มบ่อยครั้ง สภาจะกลายเป็น “การเข้าเวร” ของบรรดา ส.ส.ที่จะต้องมากดบัตรลงมติ แต่เวลาดีเบตหรือถกเถียงเพื่อประชาชน หากกล้องถ่ายทอดสด แพลนกล้องไปจะเห็นว่าห้องประชุมสภาโล่ง

ในส่วนของรัฐบาลเองคงจะมีความคาดหวังว่าหลังจากกฎหมายลูกผ่าน ก็คงจะยังไม่ยุบสภา พยายามจะดันให้ไปถึงปีงบประมาณอีกรอบหนึ่ง เพื่อที่จะเอางบประมาณเหล่านั้นมาแสดงให้เป็นผลงานเพื่อไปเป็นคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง

ดังนั้น ผมจึงมีความคิดว่าสถาบันการเมืองทั้งหมดในระบบ น่าจะไม่ได้ตอบสนองประชาชน ดังนั้น ข้อเรียกร้องของประชาชน ของการเมืองนอกสภาคือการชุมนุมในปี 2563-2564 ที่มีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ก็จะไม่ได้รับการตอบสนองอะไรเลย

ตรงกันข้ามกลับถูกจับกุมคุมขังมากขึ้น ในปีนี้ ปัญหา-ข้อเรียกร้องจะไม่ได้มีอยู่แค่เรื่องทางการเมืองแล้ว มันจะมีข้อเรียกร้องในทางเศรษฐกิจปัญหาปากท้องเพิ่มเติมเข้ามา ถ้าเราสังเกตดูปลายปีที่แล้วมีการชุมนุมหลายกลุ่มมากยิ่งขึ้น เฉพาะกลุ่มที่เขาไม่เห็นด้วยกับโครงการของรัฐที่ไปลงในพื้นที่ของเขาและทำลายทรัพยากร ตั้งแต่บางกลอยมาถึงจะนะ

ดังนั้น ทิศทางของการชุมนุมจะมีกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยเพิ่มมากขึ้นที่ไม่ได้มีข้อเรียกร้องหลักในทางการเมืองอย่างเดียว

ในส่วนของข้อเรียกร้องทางการเมืองทั้ง 3 ผมคิดว่าผลพวงของการ ที่รัฐบาลใช้วิธีนิติสงครามคือเอากฎหมายกลไกเข้าไปจับกุมคุมขัง ประกอบกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญปีก่อน ทุกอย่างมันจะบีบให้การชุมนุมในรูปแบบเดิมทำได้ยากขึ้น

ดังนั้น จึงเป็นภารกิจที่เยาวชนนิสิตนักศึกษาในนามคณะราษฎรต้องขบคิดกันมากขึ้นว่าจะผลักดันข้อเรียกร้องของตนเองไปต่ออย่างไร

ด้วยวิธีการใหม่ๆ ที่ไม่ใช่เพียงแค่การชุมนุมแบบเดิมเท่านั้นเพราะว่าตอนนี้ข้อเรียกร้องนำเสนอออกไปมันค่อยๆ หายไปจากพื้นที่สาธารณะ แต่เขามาพูดเรื่องการปล่อยตัว

ผมคิดว่าภารกิจของเยาวชนนักศึกษาหรือประชาชนที่สนับสนุนในการสนับสนุนข้อเสนอทั้ง 3 ต้องช่วยกันคิดว่าจะเคลื่อนไหวต่ออย่างไรในรูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิมเพื่อจะทำให้ข้อเสนอเหล่านี้ได้กลับมาสู่พื้นที่สาธารณะใหม่

ที่

กล่าวกันว่ารัฐเอาอยู่สำหรับเหตุการณ์บนท้องถนนนั้น ในสายตาของปิยบุตรมองว่า แม้สามารถควบคุมได้ และหลายคนมองว่ารัฐบาลมีความเข้มแข็งมาก ผมคิดว่าตรงกันข้าม เพราะรัฐที่เป็นอำนาจนิยมมากขึ้นเท่าไหร่ อาจจะรู้สึกว่าเขาแข็งแกร่ง แต่จริงๆ ในทางกลับกันนั่นคือความอ่อนแอ

เพราะถ้าคุณแข็งแกร่งจริงคุณไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจมากขนาดนี้ คุณไม่จำเป็นต้องใช้กลไกทางกฎหมายขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ศาล ทหารและตำรวจมากแบบนี้

แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเป็นการใช้กลไกบังคับทั้งสิ้น ทำให้คนกลัวไม่แสดงออก

แต่ถามว่าคุณสามารถเปลี่ยนความคิดจิตใจของคนจำนวนมากและเยาวชนคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ได้หรือไม่

คำตอบคือ “ไม่ใช่เลย” ที่ผ่านมาทั้ง 2 ปี รัฐไม่เคยเปลี่ยนใจเปลี่ยนความคิดประชาชนได้ ทำได้แต่เพียงตีกรอบไม่ให้เขาแสดงออก แต่เปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้

การกดแบบนี้จะมีแต่ยิ่งแรงขึ้นไปอีก ที่บอกกันว่ารัฐเอาอยู่ ผมว่าเขาทำได้แค่เชิงกายภาพเท่านั้น

แต่คุณไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้

 

ปิยบุตรบอกอีกว่า ส่วนตัวผมเองรู้สึกเสียดาย ในฐานะที่ติดตามความคิดของฝ่ายอนุรักษนิยมในประเทศไทยมาตลอด ให้พูดอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้ไม่มีปัญญาชน ไม่มีผู้นำทางความคิดของฝ่ายอนุรักษ์เหมือนสมัยก่อน

ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด คุณไม่มีคนแบบ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หรือพระองค์เจ้าธานีนิวัต คือพวกคุณไม่มีอินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้มีอิทธิพลทางความคิด ที่สามารถสื่อสารได้แล้วคนฟังอย่างลื่นหูและพร้อมเชื่อ พร้อมยอมรับและเห็นด้วยกับความคิดของคุณ

ทุกวันนี้เวลาที่คุณมีคนแบบที่เห็นที่เป็นอยู่ในฝ่ายอนุรักษนิยมออกมาแสดงออก จนทำให้คนรุ่นใหม่เกิดคำถามว่านี่พวกเขามาจากยุคไหนสมัยไหน?

พอคุณเปลี่ยนความคิดคนรุ่นใหม่ไม่ได้ คุณก็เลยใช้วิธีส่งคนไปฟ้องคดีเยอะๆ เต็มไปหมดทั่วประเทศ วิธีแบบนี้มันไม่มีทางที่จะเปลี่ยนความคิดคนได้

ถ้าเราลองไปดูสงครามการเปลี่ยนความคิดในอดีต ฝ่ายขวาหรืออนุรักษนิยมเขามีชั้นเชิงในการกล่อมเกลา สร้างระบบคิดกับคนได้เฉียบแหลมแหลมคม และแนบเนียนกว่าสมัยนี้

ตอนนี้ให้พูดตรงๆ ก็คือ เมื่อคุณหาคนแบบนั้นไม่ได้แล้ว คุณก็ไม่มีทางที่จะไปเปลี่ยนใจใครได้หรอกด้วยวิธีการที่คุณกำลังทำอยู่นี้

ผมคิดว่าฝ่ายอนุรักษนิยมเขาปรับตัวไม่ทันกับโลก

คือโลกมันหมุนไปเร็ว ความคิดคนมันไปอย่างรวดเร็วด้วยกระแสสื่อโซเชียลมีเดีย การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร มันเร็วกว่าเดิมหลายเท่าตัว แต่ในขณะเดียวกันคนที่ครองอำนาจรัฐ ถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมา คุณเริ่มต้นจากการยึดอำนาจและมีคนบริหารแบบคุณประยุทธ์แล้วก็สืบทอดอำนาจต่อแบบนี้ คือรัฐบาลสไตล์เช่นนี้มันไม่ใช่รัฐบาลที่จะสามารถประคับประคองประเทศในลักษณะที่มีความคิดหลากหลายได้

แต่เขามองภาพว่าต้องมีความคิดเป็นหนึ่งเดียวใช้อำนาจกดหัวเข้าไว้ ซึ่งมันไม่เปิดพื้นที่ให้กับคนได้

และถ้าหากจะฝืนกระแสไม่ยอมปรับตัว ก็จะเหมือนกับนาฬิกา ที่เข็มมันเดินไปเรื่อยๆ แล้วพอคุณดึงเข็มกลับ ไปยังไง มันก็ต้องเดินหน้าใหม่อยู่ดี ไม่ว่าคุณจะดึงเข็มกลับไปเท่าไหร่

ผมมองว่าฝ่ายอนุรักษนิยมต้องยอมรับข้อเท็จจริงตรงนี้ว่า “สังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว” โลกมันเปลี่ยน เด็กรุ่นใหม่ความคิดของเขาเปลี่ยน แล้วต้องมองอย่างมีวิสัยทัศน์ ว่า ในเมื่อความเปลี่ยนแปลงมันกำลังจะเกิด จะสามารถบริหารจัดการภายใต้กระแสความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแบบนี้ได้อย่างไร

ตรงกันข้ามฝ่ายอนุรักษนิยมทุกวันนี้ อำนาจนิยมทุกวันนี้ยังคงคิดแต่รูปแบบเดิม คุณไม่พยายามทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงเลย คิดแต่เพียงว่าพวกนี้ มีคนยุแยงตะแคงรั่ว มีคนอยู่เบื้องหลังเด็ก มีผู้บงการ

การคิดแบบนี้มันไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาได้ แทนที่จะเข้าใจว่าสถานการณ์มันเปลี่ยน แล้วคุณจะปรับตัวอย่างไรให้อยู่การเปลี่ยนแปลงให้ได้ คุณกลับเลือกใช้อีกวิธีคือ การกดมันลงไป ดูว่ามันจะขึ้นมาได้อีกหรือไม่

 

ปิยบุตรให้ความเห็นอีกว่า ประเทศไทยเราผ่านเหตุการณ์อย่างนี้มาแล้วหลายครั้ง ผมก็เลยสงสัยว่าทำไมฝ่ายอนุรักษนิยมถึงไม่ใช้โอกาสที่พวกเขายังอยู่ในอำนาจ ยังเป็นผู้มีอำนาจครองอำนาจอยู่นี้สามารถที่จะประคับประคอง เพื่อให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงได้

แต่การเลือกที่จะกดเอาไว้อย่างเดียว พอกดไปแบบนี้มันก็จะยิ่งมีแรงต้านมากขึ้น ถึงวันหนึ่ง เมื่อคุณคิดจะปฏิรูปปรับตัวมันอาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้

ผมคิดว่ายังมีเวลาในช่วงเวลาแบบนี้ผมคิดว่าน่าจะกลับมาทบทวน อย่ามองความคิดของเยาวชนของชาติไปในทิศทางที่ว่าเขาคิดไม่ดีต่อชาติบ้านเมือง

ถ้าพูดง่ายๆ ฝ่ายอนุรักษนิยมหลายคนที่มีอายุมากๆ ในเวลานี้ ตอนตัวเองเป็นเยาวชนเป็นเด็ก ก็มีวิธีคิดที่เป็นแตกต่างของสังคม วันหนึ่งมีอีกรุ่นหนึ่งขึ้นมาคุณก็ต้องเข้าใจพวกเขา มันเป็นความคิดของยุคสมัย แล้วจะอยู่อย่างไร มันหนีกันไม่พ้น มันไม่มีป่าให้ออกแบบเมื่อก่อน มันไม่มี พคท.ที่จะเข้าไปสังกัด ยังไงก็ต้องอยู่ในสังคมแบบนี้ด้วยกัน

ที่สำคัญเยาวชนคนหนุ่มสาวรุ่นนี้เขาเป็นคนมีความสามารถหลายคน แต่พวกคุณไปมองเพียงแต่ในภาพของการชุมนุม

จริงๆ ความสามารถของเด็กสมัยนี้มีอยู่เยอะมาก เป็นทักษะของคนอย่างรุ่นผมก็ตามไม่ทัน คนคนหนึ่งทำได้หลายอย่าง หลายภารกิจได้ในตัวคนเดียว ผมคิดว่าพวกเขามีความสามารถมาก แต่แทนที่จะคิดในมุมแบบนี้กับเขา ดันไปคิดว่าเป็นคนคิดไม่ดีต่อชาติบ้านเมือง ทั้งที่คนเหล่านี้เขาจะสามารถช่วยเติมเต็ม ให้สังคมไทยไปได้ไกลกว่าเดิม พัฒนาได้มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

และสิ่งที่ผมมีความเป็นกังวลมากที่สุด คือการอย่าทำให้ความขัดแย้ง มันเลื่อนไถลจนกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างรุ่น ระหว่าง Generation มันไม่ใช่ความขัดแย้งของพรรคการเมืองและกลุ่มการเมือง แต่นี่มันคือความขัดแย้งในเชิงวิธีคิด ของรุ่นและหลายคนก็อยู่ไม่ไกลจากตัวพวกท่าน ส่วนใหญ่ก็ลูกหลานท่านทั้งนั้น คนในครอบครัวบ้านของท่านเอง หรือบางคนก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา

ผมคิดว่าอนุรักษนิยมต้องปรับเรื่องนี้ ต้องพยายามทำความเข้าใจกับวิธีคิดแบบใหม่ๆ

ชมคลิป