ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 กุมภาพันธ์ - 3 มีนาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ยานยนต์ |
ผู้เขียน | สันติ จิรพรพนิต |
เผยแพร่ |
ยานยนต์ สุดสัปดาห์
สันติ จิรพรพนิต
อาวดี้ ‘Q7-Q8’ ปลั๊กอินไฮบริด
เอสยูวีตัวแรง-น้องๆ รถสปอร์ต
เข้ากับสถานการณ์ในช่วงนี้เปี๊ยบ เมื่อค่าย “อาวดี้” เปิดตัวเอสยูวี พรีเมียม เครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ถึง 2 รุ่นรวด แถมเป็นตัวเด่นและได้รับความนิยมไม่น้อย
ประกอบด้วย “อาวดี้ คิว 7” และ “อาวดี้ คิว 8”
ชื่อเต็มยาวเหยียดเหลือเกินคือ “Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition” และ “Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition”
เห็นตัวเลข “60” ในชื่อรุ่น ขาซิ่งซู้ดปากได้เลยเพราะเป็นตัวแรงของค่ายนี้
ถือเป็นรถยนต์พลังงานปลั๊กอินไฮบริด 2 รุ่นแรกของค่าย ที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยผ่านบริษัท ไมซ์สเตอร์ เทคนิค จำกัด หรือ “อาวดี้ ประเทศไทย”
อาวดี้เคลมว่าพัฒนาเทคโนโลยีเจเนอเรชั่นล่าสุด ดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยมีมา (The Best Plug-in Hybrid Ever)
ไม่เพียงเท่านั้น การตั้งราคายิ่งน่าสนใจ เพราะแม้เป็นรถยนต์นำเข้าทั้งคันแต่ได้มาตรการสนับสนุนการรถ PHEV ของรัฐบาล
จึงทำราคาได้ถูกกว่ารุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายใน 600,000-1,000,000 บาท
ภายนอกออกแบบแนวสปอร์ตตกแต่งด้วยชุดแต่ง S line และอัพเกรดการตกแต่งเป็นแบบ Black Edition โดยเปลี่ยนคิ้วโครเมียมรอบคันเป็นสีดำและฝาครอบกระจกมองข้างสีดำดูดุดัน
เด่นด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ พร้อมโลกโก้ 4 ห่วงที่โดดเด่น ไฟหน้ามีให้เลือกทั้งแบบ LED และ matrix LED อัจฉริยะที่จะสามารถปรับแสงปิด LED บางดวงอัตโนมัติ เพื่อไม่ให้แสงกวนตาผู้ขับรถที่สวนมา
พร้อมไฟเอฟเฟ็กต์ Light staging เมื่อปลดล็อก
กระจกมองข้างสีดำพร้อมไฟเลี้ยว LED และระบบตัดแสงอัตโนมัติ
กันกระแทกด้านข้างใช้สีดำเงาพร้อมตัวอักษร “quattro”
ล้ออัลลอยลายใหม่ ขนาด 21 นิ้ว พร้อมยาง 285/40 แก้มบางเฉียบ คาลิปเปอร์เบรกสีแดงทั้งหน้า-หลัง ทำให้มองภาพรวมแล้วเพิ่มความสปอร์ตมากขึ้น
ไฟท้ายดีไซน์สวย ตกแต่งขอบกระจกหลังด้วยสีดำ มีสปอยเลอร์ท้ายสีดำเช่นกัน
ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าเบาแรง
ติดตั้งแร็กบรรทุกสัมภาระบนหลังคา
โดย Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition มีหลังคาพาโนรามิกเพิ่มมาให้ด้วย
การตกแต่งภายในรุ่น Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition เพิ่มอุปกรณ์การตกแต่งเป็นแบบ S line Interior พวงมาลัยท้ายตัดพร้อมเบาะนั่งพร้อมตราสัญลักษณ์ S line
ส่วนรุ่น Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition ยกระดับเหนือชั้นขึ้นไปอีกด้วย เบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบ Super Sport ลาย Diamond Cut ในแบบฉบับ RS Full Bucket Seat องศาความลาดของเบาะที่ออกแบบให้สอดคล้องกับความลาดเอียงของกระจก ช่วยจัดระดับของสายตาให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ขับขี่
วัสดุหุ้มหนัง Valcona คุณภาพสูง นุ่มสบาย
พวงมาลัย Multi-function แบบสปอร์ตท้ายตัดพร้อม Paddle shift
จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว
ระบบ MMI Navigation plus พร้อม MMI touch ขนาด 10.1 นิ้ว และจอควบคุม multi-function แบบสัมผัส
ระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ 17 ตำแหน่ง 730 วัตต์
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 โซน ด้านหน้า 2 และช่องแร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังอีก 1 โซน พร้อมฟังก์ชั่นเปิดแอร์ได้ขณะดับเครื่อง
เบาะหลังนั่งสบายสามารถปรับพนักและเลื่อนเบาะเข้า-ออก เพิ่มพื้นที่วางเท้า หรือเพิ่มพื้นที่บรรทุกด้านหลัง รวมทั้งสามารถแบ่งพับราบแบบ 40-20-40
พื้นที่เก็บสัมภาระยังคงมีขนาดความจุสัมภาระสูงมากถึง 505 ลิตร ในรุ่น Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition
ส่วน Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition ความจุ 650 ลิตร
เป็นความจุพื้นที่เก็บสัมภาระที่สูงมากที่สุดในรถขนาดเดียวกัน
ขุมพลังทั้ง 2 รุ่นเป็นบล็อกเดียวกันเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบ ขนาด 2,995 ซีซี กำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร
ทำงานควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลัง 136 แรงม้า และแรงบิด 400 นิวตัน-เมตร
เมื่อผสานการทำงานกันจะให้พละกำลังจากระบบขับเคลื่อนสูงสุดถึง 462 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตร
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 5.4 วินาที และความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ดูจากตัวเลขต้องบอกว่าเป็นรถเอสยูวี พรีเมียม ที่แรงสุดในเซ็กเมนต์แล้ว
แบตเตอรี่ลิเธียม-อิออนแรงดันสูงมีความจุ 17.9 กิโลวัตต์ สามารถรองรับการชาร์จได้สูงสุดถึง 7.4 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ชาร์จแบตเตอรี่เต็มได้ภายใน 2.5 ชั่วโมง
สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้มากกว่า 40 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ที่ความเร็วกว่า 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ที่น่าสนใจไม่พ้นการออแบบแบตเตอรี่แยกโมดูล ทำให้หากกิดปัญหาสามารถเปลี่ยนอะไหล่และแบตเตอรี่แยกย่อยเป็นแต่ละโมดูลได้ ทำให้ค่าบำรุงรักษาเมื่อแบตเตอรี่หมดระยะรับประกันจะต่ำลง
รับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน
ช่วงล่างระบบถุงลมแบบ Sport ในรุ่น Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition
มาพร้อมระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งเรียกว่า e-tron mode ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 โหมด
EV (electric driving) ซึ่งเป็นโหมดที่รถจะขับเคลื่อนด้วยกำลังไฟฟ้าเท่านั้น 100% เหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง
Auto Hybrid (intelligent use of battery charge) มอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์จะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดโดยอัตโนมัติ จากการทำงานของระบบ Predictive Efficiency Assist (PEA) ที่จะประเมินสถานการณ์ของถนนที่เดินทางไปควบคู่ไปกับระบบนำทางของรถ
พร้อมแนะนำให้ผู้ขับขี่ถอนคันเร่ง โดยมีสัญลักษณ์สีเขียวรูปลูกศรให้ถอนเท้าพร้อมแรงกระตุกที่แป้นคันเร่ง 1 ครั้ง เมื่อรถเดินทางเข้าสู่ ทางแยก ทางลาด ทางร่วมต่างๆ
ระบบนี้ยังทำงานควบคู่กับระบบ Predictive Operating Strategy (POS) ที่จะประเมินการขับขี่ว่าเป็นการใช้ในเมืองที่มีรถติด หรือในเมืองที่รถเคลื่อนตัวได้ดี หรือการวิ่งนอกเมือง เพื่อจะใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างเหมาะสม
Battery Hold (maintain battery charge) เหมาะสำหรับการเดินทางจากนอกเมืองเพื่อเข้าในเมือง โดยรถยนต์จะใช้งานเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน เพื่อรักษาระดับประจุไฟฟ้าของแบตเตอรี่ให้สูงคงที่เท่าเดิม เพื่อจะเก็บพลังงานจากแบตเตอรี่เอาไว้ใช้ในขณะเข้าเมืองให้วิ่งได้ไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้
Battery Charge (increase battery charge) รถยนต์จะใช้งานเครื่องยนต์และระบบนำพลังงานกลับมาใช้ (Recuperation) เพื่อที่จะพยายามชาร์จแบตเตอรี่แรงดันสูงให้เพิ่มมากขึ้น
Audi มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย
Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition (LED Headlight) ราคา 4,799,000 บาท
Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition (Matrix LED Headlight) ราคา 4,899,000 บาท
และ Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition ราคา 5,799,000 บาท