ลตา มังเกศการ์ ไนติงเกลของอินเดียในความทรงจำ (1)/มุมมุสลิม จรัญ มะลูลีม

จรัญ มะลูลีม

มุมมุสลิม

จรัญ มะลูลีม

 

ลตา มังเกศการ์

ไนติงเกลของอินเดียในความทรงจำ (1)

 

หลายปีก่อน เมื่อศึกษาเล่าเรียนอยู่ในอินเดียในมหาวิทยาลัย Aligarh Muslim University คณะรัฐศาสตร์ที่ผมเรียนอยู่มีข้อกำหนดในระดับปริญญาตรีว่าในวิชาเลือก หากนักศึกษาต่างชาติไม่เลือกประวัติศาสตร์อินเดียก็ต้องเลือกภาษาอุรดู (Urdu) หรือฮินดี (Hindi)

ผมตัดสินใจเลือกอุรดูเพราะอย่างน้อยอุรดูก็มาจากภาษาสันสกฤต อาหรับและเปอร์เซีย ทั้งนี้ การมีภาษาอาหรับเป็นพื้นฐานอยู่บ้างแม้ว่าจะยังไม่มากพอก็น่าจะเรียนภาษาอุรดูได้

ผมคิดว่าผมเลือกถูกเพราะการรู้อุรดูทำให้รู้ฮินดีไปโดยอัตโนมัติ แม้ว่าจะเป็นการรู้ภาษาในเบื้องต้นก็ตาม โดยผมเลือกภาษาอาหรับเป็นวิชาโทในปีแรกๆ ที่เรียน

และจากพื้นฐานภาษาที่มีอยู่เล็กน้อยดังกล่าว ผมจึงมาต่อยอดเรียนภาษาฟาร์ซีหรือเปอร์เซียในช่วงก่อนปริญญาเอกอีกหนึ่งปี เนื่องจากเลือกทำวิทยานิพนธ์ระดับก่อนปริญญาเอก (M.Phil) เรื่องการปฏิวัติรัฐธรรมนูญของอิหร่าน (Constutional Revolution of Iran) แห่งปี 1905 ที่มีนักการศาสนาเป็นแกนนำ อันเป็นการปฏิวัติที่แสดงให้เห็นว่าในอิหร่านนักการศาสนาคือผู้ขับเคลื่อนทางการเมืองมาก่อน ก่อนที่จะมีการปฏิวัติอิสลามในปี 1979 โดยซัยยิด อะยาตุลลอฮ์ รูหุลลอฮ์ โคมัยนี

มหาวิทยาลัยมีข้อผูกมัดว่าใครเขียนเรื่องของประเทศไหนก็ต้องรู้ภาษาของประเทศนั้นในระดับหนึ่ง ผมจึงต้องเรียนภาษาเปอร์เซียอีกหนึ่งปีเต็ม

 

หลังจากเรียนวิชาเลือกอย่างอุรดู ซึ่งเป็นหนึ่งในภาษาราชการของอินเดีย และเป็นภาษาของชาวมุสลิมในอินเดียและเอเชียใต้ คนที่รู้ภาษาอุรดูก็จะสื่อกับคนรู้ภาษาฮินดีได้ แม้ว่าสองภาษานี้จะเขียนด้วยอักษรที่ต่างกัน อุรดูใช้อักษรที่มาจากภาษาอาหรับ ส่วนฮินดีใช้อักษรเทวนาครีย์

การใช้ชีวิตร่วมกับชาวอินเดียโดยทั่วไปจึงต้องสื่อกันด้วยฮินดีและอุรดู ที่สำคัญก็คือในหนังอินเดียส่วนใหญ่บทสนทนาและเพลงที่มีความเป็นบทกวีมีบทบาทของภาษาอุรดูอยู่อย่างมาก

ในช่วงของการเป็นนักศึกษาและอยู่ในช่วงเรียนรู้ฮินดีและอุรดูใหม่ๆ การดูหนังจืงดูไปแบบขาดความลึกซึ้งทำให้ขาดอรรถรส และได้แต่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่เพลงจะมาเสียที ซึ่งหนังอินเดียไม่อาจละเลยเสียงเพลงได้ ความรู้สึกนี้ต่างจากที่อยู่เมืองไทย ซึ่งผู้ดูต้องการทำความเข้าใจกับเนื้อเรื่องมากกว่าฟังเพลง

จากการเรียนอุรดูและหัดพูดฮินดีไปด้วยในเวลาต่อมาทำให้เข้าใจสองภาษานี้ในระดับตลาดๆ และดูหนังอินเดียได้สนุกขึ้น ซึ่งก่อนไปอินเดียผมก็ชอบดูหนังอินเดียอยู่แล้ว แต่ครั้งใดที่หนังกำลังสนุกก็ต้องมาเจอเพลงอินเดียแทรกกลางเนื้อเรื่องทุกครั้ง ทำให้ความต่อเนื่องต้องมาสะดุดลง ซึ่งในเวลานั้นไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีเพลงมาคั่นด้วย

เมื่อมาอยู่ที่อินเดียจึงเข้าใจมากขึ้นว่าคนอินเดียดูหนังโดยไม่ฟังเพลงไปด้วยไม่ได้

อินเดียเมื่อหลายปีก่อนมีสิ่งบันเทิงอยู่ไม่มากนัก การดูหนังอินเดียจึงเป็นความผ่อนคลายหลักที่เดินไปหาตามโรงหนังได้ไม่ยาก

ดังนั้น ความสุขของการดูหนังอินเดียในสมัยแรกๆ ที่อยู่ในอินเดียคือการได้ฟังเพลงจากหนัง เพราะเพลงมีความเป็นสากลไม่ว่าเพลงนั้นจะมาจากภาษาใด เพลงก็จะเข้าถึงจิตวิญญาณของเราได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เราขาดความเข้าใจในเนื้อเรื่อง

 

สําหรับหนังอินเดียที่โรงหนังเลือกมาฉายแทบจะไม่มีหนังเรื่องใดที่เสียงร้องของนักร้องที่อยู่เบื้องหลัง (Playback) ที่เป็นผู้หญิงจะไม่ใช่เสียงของลตา มังเกศการ์ (Lata Manggesgar) ส่วนนักร้องชายในเวลานั้นก็จะเป็นมุฮัมมัด ราฟี (Muhammad Rafi) เป็นด้านหลัก ซึ่งปัจจุบันนักร้องทั้งสองคนได้จากชาวอินเดียไปแล้ว

สำหรับผมในทุกช่วงชีวิตที่ศึกษาอยู่ในอินเดีย สิ่งที่ทำมาตลอดก็คือก่อนการสอบทุกครั้งจะผ่อนคลายด้วยการดูหนัง ซึ่งยิ่งดูก็ยิ่งชอบอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอินเดียที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยดาราหนังอินเดียจำนวนหนึ่งก็กลายไปเป็นดาราฮอลลีวู้ดด้วยเช่นกัน

พร้อมๆ ไปกับเนื้อเรื่องที่เริ่มเข้าใจได้บ้าง และเสียงเพลงในหนังทำให้ชีวิตของผมผูกพันกับหนังอินเดียและเสียงเพลงจากหนังอินเดียมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าแนวเพลงในปัจจุบันจะแตกต่างจากแนวเพลงเดิมๆ ไปมาก แต่ความเป็นอมตะของเนื้อเพลงจากนักร้องเก่าๆ ก็ยังได้รับการรับฟังตลอดมา

และหนึ่งในนักร้องที่ผมได้ฟังมาอย่างต่อเนื่องจนถึงเวลานี้ก็คือ ลตา มังเกศการ์

 

การจากไปของเธอจึงเป็นการจากไปของคนที่อยู่ในความคำนึงถึงเสมอ และแม้เธอจะจากโลกนี้ไปแต่เพลงของเธอก็จะยังคงอยู่คู่อินเดียและผู้ฟังเสียงของเธอนับล้านๆ คนอย่างไม่เสื่อมคลาย

เสียงของลตาช่วยสร้างนางเอกหนังอินเดียมาแล้วหลายคน และความมีชื่อเสียงของเธอ ยังคงไม่เคยจางหาย โดยเฉพาะในหนังเรื่อง มะฮัล (Mahal) หรือพระราชวัง (1949) ไปจนถึงเรื่องดิลวาเล ดุลฮานิยา เล จัยเก (Dilvale Dulhaniya Le Jayenge) หรือคู่รักผู้มีน้ำใจที่พาเจ้าสาวมาให้ (1995)

ลตามีเสียงที่เป็นพรสวรรค์เมื่อได้ฟังเสียงของเธอที่อ่อนนุ่มไพเราะ ผู้คนก็จะต้องหยุดฟังเสียงของเธอเพราะเสียงของเธอสัมผัสกับจิตใจของผู้ฟังได้อย่างลึกซึ้งที่สุด

จากประสบการณ์ที่เคยอยู่อินเดียมายาวนานถึงหนึ่งทศวรรษท่ามกลางพี่น้องชาวอินเดียที่หลากหลาย ผมพบว่าคนอินเดียจากทุกสาขาอาชีพวรรณะต่างก็อิงแอบอยู่กับเสียงเพลงของลตา

เนื่องจากเสียงของเธอสามารถสะกดผู้ฟังเอาไว้ ทั้งนี้ มิใช่เพราะว่าเธอมีอาชีพเหมือนนักร้องอย่างนูร ยะฮัน (Noor Jehun) ชัมชาด เบกัม (Shamshad Begum) หรือสุรัยญา (Suraiya)

แต่สำหรับผู้รักดนตรีและเสียงเพลงจะรู้สึกได้ว่าเสียงเพลงของลตาได้ส่งพวกเขาไปสู่โลกของความรักโรแมนติกและความสุขอย่างแท้จริง

 

ในความเป็นจริงลตามีเสียงที่หาใครเปรียบกับเธอได้ยากเพราะเธอได้สร้างเส้นทางของเธอขึ้นมาให้มาอยู่ในผู้มีโทนเสียงที่เป็นตำนานของนักร้องที่อยู่เบื้องหลังบทเพลงในหนังอินเดีย

มีเพลงในหนังอินเดียมากกว่าพันเรื่องที่เธอเป็นผู้ขับร้องอยู่เบื้องหลัง ทั้งนี้ นางเอกในหนังอินเดียจำนวนมากมีหน้าที่แค่จัดวางท่าทางและขยับปากให้เข้ากับเสียงเพลงที่ลตาขับร้องเท่านั้น

ฉายา ไนติงเกลของอินเดีย (Nightingale of India) แสดงให้เห็นความอยู่ยงคงกระพันในความเป็นศิลปินในตัวเธอ นับจากเพลงที่แสดงถึงความขุ่นเคืองจากเรื่องอนากาลี (Anakali) ไปจนถึงสีสันแห่งความรักอันเรืองรองจากมุคัลอีอะซัม หรืออาณาจักรมุคัล (โมกุล) ไปจนถึงเพลงนาม กัม จัยกา (Naam gum jayeega) หรือความเศร้าจะจากลาในหนังเรื่องกุลซาร์ (Gulzar) ของคินารา (Kinara) และที่ร้องด้วยจังหวะดนตรีที่กินใจอย่างเมเร กลาบอน โจอายี (Mere Khawabonmein joaaye) หรือผู้อยู่ในความฝันในหนังดิวาลี ดุลฮานียา เล จัยเก

เสียงของลตามีมาเพื่อคนอินเดียนับล้านๆ คนที่หลงใหลในเสียงของเธอ นี่เป็นรัศมีของเธอซึ่งผู้อำนวยการเพลงต้องรอนับเป็นเดือนๆ เพื่อที่จะได้ตัวเธอเข้ามาร้องเพลงให้กับหนังอินเดีย ความเป็นมืออาชีพของเธอในอินเดียได้รับการกล่าวขานมาอย่างต่อเนื่อง

เธอได้ทำงานที่เธอได้รับมอบอย่างสุดหัวใจ อย่างในกรณีของเสียงเพลงในหนังเรื่อง สัตยัม ชีวัม สุนดารัม (Satyam Shivam Sundaram) หรือความแท้จริง ความเป็นมงคล ความสุนทรีย์

ในโอกาสอื่นๆ เธอต้องขับร้องเพลงในยามค่ำคืนเพื่อสนองตอบความปรารถนาของผู้อำนวยการเพลงที่ต้องการให้เกิดความรู้สึกและบรรยากาศแห่งความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว อย่างเช่น ในหนังมุคัลอีอะซัม ด้วยเหตุนี้เธอจึงเป็นราชินีแห่งเสียงเพลงในหนังอินเดีย

ถ้อยคำที่เธอกลั่นออกมาจึงเป็นทั้งท่วงทำนองและความเป็นตัวของตัวเองที่เป็นแบบฉบับให้แก่นักร้องคนอื่นๆ ในเวลาต่อมา

 

ลตาเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล Beach Candy เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ (2022) อันเนื่องมาจากปอดบวมและโควิด-19

แม้เธอจะต่อสู้กับความป่วยไข้อย่างถึงที่สุด พร้อมไปกับอายุของเธอที่มากแล้ว เธอก็ไม่อาจต้านกับวาระสุดท้ายในชีวิตของเธอได้

ลตาจากโลกนี้ไปในขณะที่เธอมีอายุได้ 92 ปี

รัฐบาลอินเดียได้ประกาศไว้อาลัยให้เธอเป็นเวลาสองวันเพื่อแสดงถึงความเคารพที่มีต่อเธอ ประธานาธิบดี ราม นาถ โกวินด์ (Ram Nath Kovind) ได้แสดงความอาลัยต่อการจากไปของเธอว่า

“การจากไปของลตาจี (คำว่าจีเป็นคำต่อท้ายชื่อที่แสดงถึงความเคารพ) ทำให้หัวใจของข้าพเจ้าสลายเหมือนกับคนอินเดียอีกนับล้านๆ คน”

เธอเป็นแก่นสารและความงามของอินเดียเป็นภารตรัตนะ ความสำเร็จของลตาจีจะคงอยู่อย่างหาใครมาเปรียบมิได้

นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี (Narendra Modi) ก็เป็นหนึ่งในผู้ทวีตเป็นคนแรกๆ หลังจากทราบข่าวการจากไปของเธอว่า “ข้าพเจ้าถูกตรึงอยู่เหนือคำพูดใดๆ เพลงของลตาดิดี (หมายถึงพี่สาว) นำเอาอารมณ์ที่หลากหลายออกมา เธอเป็นประจักษ์พยานอย่างใกล้ชิดถึงการเปลี่ยนผ่านของทศวรรษแห่งโลกของหนังอินเดีย เธอได้ทิ้งร่องรอยที่ไม่มีใครมาเติมเต็มให้ได้เอาไว้”

ข้อความของผู้รักลตาได้ท่วมท้นอยู่ในอินเตอร์เน็ต มีข้อความนับแสนเข้ามาแสดงความอาลัยรักที่มีต่อเธอ คนแรกๆ ที่ทวีตหลังจากอุษา มังเกศการ์ (Usha Mangeshkar) ซึ่งยืนยันถึงการจากไปของเธอก็คือดาราหนังอย่างอมิตาบ บัชชัน และอัคชัย กุมาร (Amitabh Bachchan and Akshay Kumar) ตามมาด้วยกัปตันคริกเก็ต มุฮัมมัด อัซฮารุดดีน (Muhammad Azharuddin) และราชินีแห่งกรีฑา พี.ที. อุษา (P.T. Usha) นอกเหนือไปจากกลุ่มก้อนของนักการเมืองที่มีชื่อเสียงอีกหลายคน

 

ลตา มังเกศการ์ เกิดในเดือนกันยายนปี 1929 ในเมืองอินดอร์ (Indore) รัฐมัธยมประเทศ อันเป็นที่เกิดของนักดนตรีผู้มีชื่อเสียงอย่างบัณฑิต ดินานาถ มังเกศการ์ (Pandit Dinanath Mangesgar) และชีวันตี (Shevanti)

ลตาเริ่มเป็นนักร้องอาชีพตั้งแต่ในวัยต้นๆ ของชีวิต

การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของผู้เป็นบิดา ทำให้เธอไม่มีทางเลือกเพราะเธอเป็นพี่สาวคนโตของน้องๆ อีก 5 คน

รวมทั้งน้องสาวผู้มีชื่อเสียงอย่างอุษา มังเกศการ์ (Usha Mangeshkar) มีนา คาดิฆัร (Meena Khadigar) และน้องชายของเธอ หริเดนาถ (Hridaynath)