The Putin Doctrine! รัสเซียกับวิกฤตยูเครน/ยุทธบทความ สุรชาติ บำรุงสุข

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

ยุทธบทความ

สุรชาติ บำรุงสุข

 

The Putin Doctrine!

รัสเซียกับวิกฤตยูเครน

 

“ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายแล้ว ปูตินจะตัดสินใจอย่างไร แต่ความเชื่อฝังใจที่กลายเป็นแรงขับเคลื่อนพฤติกรรมของเขามาโดยตลอดก็คือ การที่โลกตะวันตกละเลยต่อผลประโยชน์ที่ชอบธรรมของรัสเซียในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา”

Angela Stent (2022)

 

ปีใหม่ 2022 ดูจะเริ่มต้นด้วยความร้อนแรงในการเมืองโลกตั้งแต่ต้นปีอย่างคาดไม่ถึง

ใครเลยจะคาดคิดว่า หลังจากรัสเซียในยุคของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้รุกเข้ายึดไครเมีย และเอากลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียในปี 2014 แล้ว

ปูตินจะเปิดเกมการเมืองอีกครั้งด้วยการส่งกำลังรบขนาดใหญ่ของรัสเซียประชิดแนวชายแดนของยูเครนจนขยายตัวเป็นวิกฤตใหญ่ในปัจจุบัน

แน่นอนว่าหลายฝ่ายกังวลอย่างมากว่า วิกฤตการณ์ชุดนี้อาจขยายตัวเป็น “สงครามใหญ่” ในปีนี้หรือไม่?

วิกฤตการณ์ยูเครนในบริบทของการเมืองโลกปัจจุบันจึงเป็นประเด็นสำคัญที่กำลังถูกจับตามองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะหากปัญหาความขัดแย้งขยับตัวไปสู่สภาวะสงครามแล้ว ผลที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลต่อการเมืองในเวทีระหว่างประเทศอย่างมากด้วย

โดยเฉพาะในบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐมหาอำนาจใหญ่ ดังจะเห็นได้ว่ามิติของการแข่งขันในวันนี้มีแนวโน้มที่จะทวีความเข้มข้นมากขึ้น

โดยเฉพาะผลที่เกิดขึ้นจากวิกฤตการณ์ในครั้งนี้จะมีนัยโดยตรงกับการจัดระเบียบระหว่างประเทศของยุโรป และระเบียบโลกด้วย

 

ปัญหา

ในด้านหนึ่งของปัญหา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าวิกฤตยูเครนเป็นผลสืบเนื่องที่เกิดตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตรัสเซีย อันส่งผลให้อำนาจของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซียสิ้นสุดลงไปกับการยุติของสงครามเย็น

การล่มสลายของสหภาพโซเวียตครั้งนั้นทำให้พื้นที่ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองแต่เดิมมีโอกาสแยกตัวออกเป็น “รัฐเอกราชใหม่” และหนึ่งในนั้นคือ “ยูเครน”

ดังนั้น หากถอยกลับไปพิจารณาถึงสถานการณ์การสิ้นสุดของสงครามเย็น สิ่งที่เป็นผลตามมาอย่างชัดเจนคือการสิ้นสภาวะของการเป็น “รัฐมหาอำนาจใหญ่” อันมีนัยโดยตรงว่า รัสเซียซึ่งเกิดตามมาจากการล่มสลายดังกล่าว ไม่ได้รับการยอมรับถึงความเป็น “รัฐมหาอำนาจ” เช่นในอดีต

หรือดังที่กล่าวกันว่า ยุคหลังสงครามเย็นเป็นการเมืองโลกแบบ “ขั้วเดียว” หรือที่ในทางทฤษฎีเรียกว่า “Unipolar” ซึ่งก็คือสภาวะที่การเมืองโลกอยู่ภายใต้อำนาจของสหรัฐ และสหภาพโซเวียตที่เคยเป็นคู่แข่งขันในเวทีโลกหมดศักยภาพลง

ผลจากการสิ้นสุดของสงครามเย็น ที่ตามมาด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียต จึงกลายเป็นโอกาสทางการเมืองครั้งใหญ่ให้แก่ “องค์กรสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ” (หรือนาโต) ขยายพื้นที่ของรัฐสมาชิกออกไปทางตะวันออก ด้วยการไปดึงเอารัฐเอกราชใหม่ที่เคยตกอยู่ภายใต้การควบคุมทางการเมืองของโซเวียตในยุคสงครามเย็น เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่

การขยายสมาชิกของนาโตในครั้งนี้ถูกมองจากฝ่ายรัสเซียว่าเป็น “ภัยคุกคามสำคัญ” ต่อสถานะด้านความมั่นคงของรัสเซียในยุคหลังสงครามเย็น

เพราะเป็นเสมือนการรุกประชิดของฝ่ายตะวันตกต่อรัสเซียโดยตรง

ซึ่งแต่เดิมในยุคสงครามเย็นนั้น พื้นที่ด้านยุโรปตะวันออกทำหน้าที่เป็นดัง “พื้นที่กันชน” ในทางภูมิรัฐศาสตร์ เพื่อขวางกั้นภัยคุกคามของทางตะวันตก

นอกจากนี้ ในมุมมองของทางฝ่ายรัสเซีย “สถาปัตยกรรมด้านความมั่นคง” ของยุโรปในยุคหลังสงครามเย็น วางอยู่บนมิติ “ความมั่นคงยุโรป-แอตแลนติก” (Euro-Atlantic Security) และส่วนหนึ่งของการออกแบบระเบียบเช่นนี้มีสหรัฐเป็นแกนกลาง จนผู้นำรัสเซียมีความรู้สึกว่ารัสเซียไม่มีส่วนร่วม และไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่ายตะวันตกให้เข้ามาร่วมในการออกแบบ

อันทำให้เกิดทัศนะว่าระเบียบการเมืองและความมั่นคงของยุโรปในยุคหลังสงครามเย็นเป็นผลผลิตโดยตรงของฝ่ายตะวันตก ในขณะเดียวกัน ผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดีปูติน ก็ถือว่ารัสเซียไม่มีพันธะใดๆ ที่จะต้องยอมรับต่อระเบียบใหม่เช่นนี้

ดังนั้น เมื่อรัสเซียสามารถที่จะฟื้นสถานะทางการเมืองของตนเองในเวทีโลกได้แล้ว รัสเซียจึงแสดงตนในการเป็น “ผู้ท้าทาย” ต่อการจัดระเบียบดังกล่าว อีกทั้งประธานาธิบดีปูตินเองมักจะกล่าวในเวทีสาธารณะเสมอว่า การจัดระเบียบที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนรัสเซีย “ถูกละเลย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการละเลยต่อความกังวลด้านความมั่นคงของรัสเซีย อีกทั้งผู้นำรัสเซียยังเรียกร้องให้ฝ่ายตะวันตกยอมรับถึง “สิทธิพิเศษ” ของรัสเซียในทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จะมีอิทธิพลเหนือพื้นที่ที่รัสเซียเคยครอบครองไว้แต่เดิม

การขยายอิทธิพลของรัสเซียต่อยูเครนในครั้งนี้ จึงมิใช่เพียงการรุกเพียงเพื่อผนวกดินแดนอย่างเช่นในกรณีของไครเมีย หรือการแทรกแซงในดอนบาสในช่วงปี 2014

หากแต่ในครั้งนี้เป็นการรุกทางทหารที่พุ่งเป้าไปสู่ยูเครนโดยตรง

อันมีนัยถึงการท้าทายที่เกิดต่อ “การจัดระเบียบยุโรป” ในยุคหลังสงครามเย็น ทั้งยังเป็นสัญญาณสำทับถึงการกลับมาของรัสเซียในการเมืองระหว่างประเทศ

ซึ่งรัสเซียเชื่อว่าการเปิดเกมการเมืองครั้งนี้ เป็นเสมือนกับ “การทวงสิทธิ์” ของรัสเซียในเวทียุโรป และเป็นสัญญาณทางการเมืองถึงโลกตะวันตก

ในอีกด้านหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าการแสดงออกครั้งนี้คือ ภาพสะท้อนของปัญหาที่ “ค้างคาใจ” ผู้นำรัสเซียมาถึงสามทศวรรษแล้ว

ทั้งยังเป็นการยืนยันถึงการกลับสู่ความเป็นรัฐมหาอำนาจของรัสเซียในเวทีโลกปัจจุบัน

อันส่งผลให้การทวงสิทธิ์ด้วยการท้าทายต่อระเบียบที่ฝ่ายตะวันตกเป็นผู้กำหนดขึ้นนั้น เป็น “ความชอบธรรม” ที่ต้องกระทำ

ซึ่งทำให้เกิดความกังวลอย่างมากว่า สุดท้ายแล้วรัสเซียอาจตัดสินใจบุกยูเครน (มากกว่าเพียงการครอบครองไครเมียและดอนบัส ที่ถูกเอากลับเข้ามาอยู่ภายใต้รัสเซียในปี 2014)

 

เงื่อนเวลา

หากลองพิจารณาจากมุมมองของรัสเซียแล้ว ประธานาธิบดีปูตินเชื่อว่าการเปิดเกมครั้งนี้เป็นจังหวะเวลาที่ดีที่สุด ด้วยเหตุผลหลัก 3 ประการ คือ

1) สหรัฐในสถานการณ์ปัจจุบันอยู่ในความอ่อนแอทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอีกส่วนคือผลสืบเนื่องที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 ที่มีผลในทางลบต่อสังคมอเมริกันอย่างหนัก

2) สังคมอเมริกันมีความแตกแยกภายในอย่างมาก ทั้งจากปัญหาความเห็นต่างทางการเมืองที่เกิดตั้งแต่ยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ และปัญหาเรื่องสีผิว ตลอดรวมถึงปัญหาชนกลุ่มน้อยในสังคมด้วย

3) ความอ่อนแอของสหรัฐในเวทีโลก ส่งผลให้การผลักดันนโยบายที่เกิดขึ้น ไม่มีพลังเช่นในอดีตของยุคสงครามเย็น และหลายประเทศไม่ได้มีมุมมองต่อสหรัฐในแบบเดิม

ดังนั้น แม้การเปลี่ยนผู้นำที่ทำเนียบขาวมาสู่ประธานาธิบดีไบเดน แต่รัสเซียเชื่อว่าสหรัฐยังไม่อยู่ในจุดที่จะพลิกฟื้นสถานะทางการเมืองในเวทีโลกได้จริง เพราะในอีกด้านของโลก สหรัฐต้องเผชิญกับการรุกทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคงจากจีนในเอเชียอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเติบโตของจีนที่ก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งของความเป็นรัฐมหาอำนาจใหญ่กับสหรัฐ

จึงเป็นอีกภาพสะท้อนอีกประการหนึ่งของความอ่อนแอของสหรัฐ ปัจจัยเหล่านี้โดยรวมมีส่วนอย่างมากที่ทำให้ปูตินเชื่อว่าเวลาของรัสเซียมาถึงแล้วในการเปิดเกมรุก

นอกจากนี้ รัสเซียมองว่าสหภาพยุโรปเองก็ไม่แข็งแรงแบบเดิม การเปลี่ยนแปลงผู้นำในเยอรมนี ทำให้ผู้นำใหม่ต้องยุ่งกับปัญหาภายใน ทั้งปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาโรคระบาด

อีกทั้งในมิติด้านพลังงาน รัสเซียมีสถานะเป็น “แหล่งพลังงาน” ให้กับยุโรป ซึ่งเป็น “ไพ่ที่เหนือกว่า” อีกใบ

และในอีกด้านเชื่อว่าการเปิดเกมรุกกับฝ่ายตะวันตกของรัสเซียในครั้งนี้จะได้รับความสนับสนุนจากจีนด้วย เหมือนที่จีนเคยให้การสนับสนุนรัสเซียมาแล้วในตอนวิกฤตการณ์ไครเมียในปี 2014

ซึ่งก็คือการตอกย้ำว่าการตัดสินใจเปิดเกมรุกในครั้งนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด

แม้จะยังเป็นประเด็นที่คาดคะเนได้ยากว่า สุดท้ายแล้วประธานาธิบดีปูตินจะตัดสินใจด้วยการเปิดการรุกทางทหารเข้าสู่ยูเครนหรือไม่

แต่การเปิดเกมการเมืองใหญ่ครั้งนี้เป็นภาพสะท้อนถึงทิศทางการเมืองที่รัสเซียต้องการให้สหรัฐและฝ่ายตะวันตกยอมรับบทบาทของตนมากขึ้นในเวทียุโรป

หรือในอีกด้านคือการบ่งบอกว่าการออกแบบระเบียบของยุโรปจะต้องมีส่วนร่วมจากรัสเซีย และโลกตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐ ควรจะต้องยอมรับถึงสถานะของความเป็นรัฐมหาอำนาจใหญ่ ดังเช่นในยุคสงครามเย็น

วิกฤตเช่นนี้เป็นภาพสะท้อนของยุทธศาสตร์ปูติน คือผู้นำรัสเซียพยายามที่จะพลิกฟื้นสถานะในเวทีระหว่างประเทศ

รัสเซียต้องการหยุดยั้งการขยายสมาชิกภาพของนาโตไปสู่รัฐที่เคยอยู่ภายใต้รัสเซียมาก่อน

และจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ การแสวงหาหนทางที่จะจัดทำ “แผนที่ภูมิรัฐศาสตร์ใหม่” ของยุโรป ที่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นผลผลิตเดิมจากนาโต

 

หลักการใหม่

การแสดงออกในเชิงนโยบายของรัสเซียเช่นนี้ เราอาจเรียกว่าเป็น “หลักการปูติน” หรือ “ปูตินด็อกทริน” (Putin Doctrine) ที่รัสเซียต้องการเห็นฝ่ายตะวันตกตกยอมรับสถานะของตนเช่นในยุคสงครามเย็น

กล่าวคือ รัสเซียต้องการได้รับการยอมรับในฐานะของการเป็น “รัฐมหาอำนาจใหญ่” ที่ควรได้รับการ “ยอมรับ” และ “เกรงกลัว”

อีกทั้งโลกตะวันตกควรจะต้องยอมรับต่อ “สิทธิพิเศษ” ในทางภูมิรัฐศาสตร์เหนือพื้นที่ที่เป็นรัฐเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะพื้นที่ที่เคยอยู่ภายใต้ “ร่มธง” ของโซเวียต

ขณะเดียวกันรัฐเพื่อนบ้านเหล่านี้ก็ควรยอมรับถึงสถานะของการเป็นรัฐที่อยู่ใน “เขตอิทธิพล” ของรัสเซียด้วย และหากมีความจำเป็น รัสเซียอาจใช้มาตรการทางทหารในการแก้ปัญหา

หลักการปูตินจึงเป็นความพยายามของการพลิกฟื้นสถานะของรัสเซียในยุคหลังการล่มสลาย และสร้างการยอมรับใหม่ต่อความเป็นรัฐมหาอำนาจในปัจจุบัน และหวังว่าการออกแบบระเบียบใหม่ของยุโรปในอนาคตจะต้องผ่านความเห็นชอบของรัสเซีย อีกทั้งยังเป็นความหวังอย่างมากว่าบทบาทของรัสเซียจะต้องเป็นปัจจัยที่รัฐอื่นๆ ในเวทีโลกต้องให้ความสนใจ

ดังนั้น ไม่ว่าการบุกยูเครนจะเกิดขึ้นหรือไม่ อีกทั้งสหรัฐและพันธมิตรตะวันตกจะเตรียมรับการบุกทางทหารของรัสเซียอย่างไรก็ตาม แต่สิ่งที่เป็นภาพสะท้อนสำคัญของวิกฤตยูเครนครั้งนี้ คือความต้องการของรัสเซียที่ต้องการจัดทำ “แผนที่ทางภูมิรัฐศาสตร์ยุโรปใหม่” โดยมีรัสเซียเป็นผู้มีส่วนร่วมที่สำคัญ

ฉะนั้น แม้วิกฤตทางทหารที่ยูเครนอาจจะสามารถขยับออกไปได้ แต่สิ่งที่ยังคงอยู่เป็นพื้นฐานสำคัญของนโยบายความมั่นคงรัสเซียคือ “หลักการปูติน” ที่ไม่เปลี่ยนแปลง!