นี่แหละยุคทหาร/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

นี่แหละยุคทหาร

 

กลายเป็นคำฮิตในโลกโซเชียล จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องหลายราย ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวส่งผลต่อภาพพจน์กองทัพเป็นอย่างมาก นั่นคือคำว่า ทหารกร่าง เริ่มจากคลิปลือลั่นสนั่นออนไลน์ เมื่อนายทหารเรือยศนาวาเอก อาละวาดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ไปปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบสถานบันเทิง เพื่อป้องกันการละเมิดมาตรการป้องกันโควิด

โดยประกาศก้องว่า นี่เป็นพื้นที่สัตหีบ เป็นเขตของทหารเรือ ทั้งขู่ย้ายตำรวจชุดดังกล่าวแบบยกโรงพัก ทั้งแอบอ้างเบื้องสูง

ต่อมายังมีคลิปนาวาเอกรายเดียวกัน ไปอวดเบ่งที่สถานบันเทิงย่านเอกมัย ใน กทม. แอบอ้างถึงสถาบันอย่างโจ่งแจ้ง

สุดท้ายโดนลงโทษสถานหนัก รวมทั้งกลายเป็นคดีอาญาอีกด้วย

ขณะที่ผู้บังคับบัญชาหลายระดับ พลอยรับโทษทัณฑ์ไปตามกัน เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น

ถัดมามีคลิปทหารเรืออีกราย ทำเอาสะเทือนกองทัพเรืออีก คราวนี้เป็นทหารยศพันจ่าเอก เมากร่างกลางสนามบินหาดใหญ่ พูดจาผิดกฎสนามบินอย่างรุนแรง แล้วแสดงความไม่พอใจเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของการท่าอากาศยาน

ลุกลามถึงการอ้างตัวเป็นองครักษ์

สุดท้ายก็โดนลงโทษสถานหนักอีกราย

มาล่าสุดเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีกรณีที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วโลกโซเชียลทำนองเดียวกัน โดยเปลี่ยนเป็นทหารอากาศ

เมื่อปรากฏเอกสารจากบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง แจ้งไปกองทัพอากาศ ว่ามีรถยนต์ที่ฝ่าด่านเก็บเงินค่าผ่านทางของดอนเมืองโทลล์เวย์ โดยไม่จ่ายเงินหลายครั้ง

ตรวจสอบทะเบียนรถแล้วพบว่าเป็นของสังกัดกองทัพอากาศ

ขณะเดียวกันมีข้อมูลระบุตามมาอีกว่า รถคันดังกล่าว เป็นรถขบวนติดตามนายทหารอากาศชั้นผู้ใหญ่

ภายหลังปรากฏเป็นข่าว จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว โดยโลกโซเชียลเชื่อมโยงถึงพฤติกรรมที่เป็นเรื่องอื้อฉาวของทหารเรือ 2 รายก่อนหน้านั้น ลงเอยก็ทำให้คำว่าทหารกร่างกระหึ่มขึ้นมาอีก

ทางด้านกองทัพอากาศ ได้รีบแก้ไขปัญหา โดยมีการไปจ่ายเงินค่าทางด่วนโทลล์เวย์ดังกล่าวทันที พร้อมทั้งให้ข่าวชี้แจงทำนองว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว มิได้มีเจตนาฝ่าด่านและไม่ชำระค่าผ่านทาง เนื่องจากความเร่งรีบ โดยเข้าใจว่าคันหน้าจ่ายค่าผ่านทางให้แล้ว

ชี้แจงแบบนี้ ทำให้ยิ่งกระหึ่มไปทั้งโลกโซเชียล!

 

มีการตั้งข้อสังเกตว่า จากคลิปทหารเรือยศนาวาเอก ที่พูดจาข่มขู่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และข่มขู่พนักงานของสถานบันเทิงย่านเอกมัยนั้น นายทหารเรือรายนี้ ยังอ้างอิงพี่ตู่ อ้างอิงนายกฯ ตู่ หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีด้วย

ขณะที่รายพันจ่าเอก ซึ่งกร่างในสนามบินหาดใหญ่ ก็ได้กล่าวโต้เจ้าหน้าที่สนามบินที่ระบุว่ามีกฎห้ามการพูดคำที่ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก ด้วยการบอกว่างั้นต้องไปแก้กฎใหม่ เดี๋ยวจะบอกนายกรัฐมนตรีให้

แน่นอนว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมกร่างของทหารเรือทั้งสองรายดังกล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่ได้รู้จักมักคุ้นอะไรกับทหารทั้งสองแน่ๆ

รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์คงไม่สนับสนุนให้ทหารมีพฤติกรรมเช่นนี้

แต่ในทางกลับกัน พฤติการณ์ของทหารทั้งสองราย ที่รายหนึ่งอาละวาดข่มขู่ตำรวจสัตหีบและพนักงานสถานบันเทิงย่านเอกมัย อีกรายข่มขู่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของการท่าอากาศยานหาดใหญ่นั้น

พูดจาอ้างอิงนายกรัฐมนตรี คงจะด้วยความภาคภูมิใจ ในฐานะนายกฯ ที่มาจากกองทัพ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก!

นับจากการรัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้นำการยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน แล้วตั้งรัฐบาลบริหารประเทศด้วยอำนาจรัฐประหาร เรียกกันว่ารัฐบาลทหาร

ย่อมนำมาซึ่งความภูมิใจของนายทหารจำนวนไม่น้อย เพราะเป็นความยิ่งใหญ่ที่ผู้นำทหารได้เข้าปกครองประเทศ ขณะเดียวกันเป็นยุคที่เปิดให้เจ้าหน้าที่ทหารมีบทบาทสูงในการควบคุมบ้านเมือง ลงไปถึงทำหน้าที่ควบคู่ไปกับตำรวจ ทั้งจับกุมสิ่งผิดกฎหมาย สถานบันเทิง บ่อนการพนัน

พูดง่ายๆ ว่าการเข้ามาของรัฐบาลทหาร ทำให้ทหารมีบทบาทไปแทบทุกสัดส่วนของสังคม ทำให้ทหารมีอำนาจมีความยิ่งใหญ่มาก

ยังไม่รวมถึงการจัดซื้ออาวุธเสริมเขี้ยวเล็บให้กองทัพ ซึ่งเป็นยุคทองของการสร้างความเกรียงไกรให้กองทัพ ที่ทำกันมาทุกครั้งหลังการรัฐประหาร

ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์หรือพี่ตู่ของทหารทั้งหลาย จึงเป็นความภาคภูมิใจในการทำความยิ่งใหญ่ให้กับกองทัพ มีอำนาจควบคุมไปทั่วบ้านทั่วเมือง

เมื่อนาวาเอกรายนั้น จะแสดงอิทธิฤทธิ์ข่มขู่ ก็ไม่พ้นต้องอ้างอิงบิ๊กตู่ ผู้ซึ่งทำให้ทหารรู้สึกมั่นอกมั่นใจในความยิ่งใหญ่

เมื่อพันจ่าเอกรายนั้นอยากจะรื้อกฎสนามบินเสียใหม่ เพราะโดนระบุว่าพูดจาผิดกฎ ก็พร้อมจะอ้างอิงนายกรัฐมนตรีด้วย เพราะเป็นผู้นำกองทัพที่กำลังมีอำนาจสูงสุดทางการบริหารประเทศ

จากการรัฐประหารเมื่อปี 2557 ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ นับเป็นช่วงที่ทหารจำนวนไม่น้อยดูมั่นใจในบทบาทและอำนาจอย่างสูง ผ่านการเป็นผู้นำประเทศของผู้นำจากกองทัพ

 

ตราบใดที่การเมืองไทยยังไม่สามารถพัฒนาก้าวหน้า เพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยเติบโตเข้มแข็งขึ้นไปเรื่อยๆ โดยให้ประชาชนได้เรียนรู้ผ่านการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง ไม่มีสะดุด เพราะโดนล้มกระดานด้วยรถถัง

ถ้ายังคงมีเหตุรัฐประหารเป็นระยะๆ ทำให้การเมืองไทยวนเวียนไม่ไปไหน เปรียบกันว่าวนอยู่ในวงจรอุบาทว์

เช่นนี้แล้ว อำนาจของกองทัพในทางการเมือง ก็จะมีลักษณะเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง ตามวงจรของการปฏิวัติรัฐประหารนั่นเอง

ย้อนไปดูการรัฐประหารเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2534 โดยคณะ รสช. ซึ่งปูทางด้วยการโหมกระแสรัฐบาลนักการเมืองกินทั้งตามน้ำและทวนน้ำ จนเกิดเสียงเชียร์ให้ยึดอำนาจ

แต่พอยึดอำนาจ แล้วตระบัดสัตย์เป็นนายกฯ เสียเอง จึงถูกต่อต้าน กลายเป็นเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 มีประชาชนที่ฮือประท้วงไล่รัฐบาลทหาร ต้องพลีชีพนองเลือดมากมาย

นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ภาพพจน์ของกองทัพตกต่ำในทางการเมือง ต้องลดบทบาทไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองต่อเนื่องมาอีกยาวนาน

ไม่น่าเชื่อว่าอีก 15 ปีจากนั้น การรัฐประหารกลับมาอีกครั้ง ในวันที่ 19 กันยายน 2549 ด้วยส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างแกนนำม็อบกับทักษิณ ชินวัตร และมองว่ามีแต่อำนาจกองทัพเท่านั้น ที่จะหยุดทักษิณได้ จึงเกิดม็อบเรียกหาทหารให้เข้ามาปกครองบ้านเมือง ปูทางจนสำเร็จ

แต่จากนั้นเมื่อกลับมาสู่การเลือกตั้ง พรรคเครือข่ายทักษิณก็ยังชนะเลือกตั้งท่วมท้น

จนต้องเกิดม็อบแบบเดียวกันกับปี 2549 โดยมีม็อบ 2557 ขับไล่รัฐบาลจากการเลือกตั้ง พอเขายอมยุบสภา ก็ขัดขวางเลือกตั้ง ทำทุกอย่างเพื่อให้เข้าทางตัน จนเกิดเงื่อนไขรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

เป็นการกลับมาของอำนาจทหารอีกครั้ง และคราวนี้วางแผนต่อเนื่องยาวนาน เป็นรัฐบาลทหารปกครองบ้านเมืองถึง 5 ปี แล้วจัดเลือกตั้ง โดยเอาอำนาจ ส.ว.มาอยู่เหนืออำนาจประชาชน ทำให้ได้นายกฯ คนเดิมจากรัฐบาลทหาร

เป็นวงจรที่ทำให้ยุคทองของทหารกลับคืนมา จนกลายเป็นเหตุการณ์ทหารกร่าง ดังที่เป็นคลิปอื้อฉาวไปทั่ว

ถ้าสังคมไทยไม่ตัดสินใจหยุดทหารไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพื่อปล่อยให้ประชาธิปไตยเติบโตไปตามขั้นตอน พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ และประชาชนได้เรียนรู้ยกระดับคุณภาพไปเรื่อยๆ

ถ้ามีจังหวะก็ยังเรียกหาทหาร เปิดทางให้ทหารที่พร้อมจะเข้ามาแทรกแซงการเมืองอยู่แล้ว

เราก็จะมียุคแบบนี้ มีคลิปแบบนี้ ให้น่าอเนจอนาถ ได้เห็นกันไม่สิ้นสุด!