วัคซีนโควิด 2.0 มีได้อย่างไร? ทำไมต้องมี?/เทศมองไทย

เทศมองไทย

 

วัคซีนโควิด 2.0

มีได้อย่างไร?

ทำไมต้องมี?

คนไทยเราคลายความกลัว ความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ลงไปไม่น้อยแล้วในเวลานี้ ทั้งๆ ที่องค์การอนามัยโลกยังคงกำหนดให้โควิด-19 เป็นภัยคุกคามของโลกอยู่ต่อไป

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรัฐบาลมีความจำเป็นต้องเปิดให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบเศรษฐกิจทรุดตัวลงมากกว่านี้ สอดคล้องกับการที่โอมิครอน เชื้อกลายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ล่าสุด ไม่ได้มีความร้ายแรงจนเกินไปนัก ระบบสาธารณสุขของไทยยังคง “พอจะ” รับมือได้อยู่ในเวลานี้

ประจวบกับที่เริ่มมียาที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาโรคนี้

แต่เรายังไม่สามารถวางใจได้เด็ดขาด โอมิครอนมีศักยภาพในการแพร่ระบาดสูงมาก และหากอัตราการแพร่ระบาดยังคงพุ่งสูงต่อเนื่อง ความร้ายแรงเท่าที่มีก็อาจก่อให้เกิดปัญหาให้กับระบบสาธารณสุขและการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนขึ้นได้อีกครั้ง

ไม่ต้องดูตัวอย่างอื่นไกล แค่มองไปที่เกาหลีใต้แล้วถามตัวเองว่า ถ้าไทยเราติดเชื้อโอมิครอนวันละครึ่งแสน จะเกิดอะไรขึ้น?

นอกเหนือไปกว่านั้น โควิด-19 นอกจากจะคร่าชีวิตแบบฉับพลันแล้ว ยังก่อให้เกิดภาวะ “ลองโควิด” คือก่ออาการเรื้อรัง กลายเป็นภาระทางสาธารณสุขอีกยาวนานได้

เหล่านั้นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมเราถึงจะยังคงต้องพัฒนาวัคซีนโควิดต่อไป เพื่อให้ได้วัคซีนเจเนอเรชั่นที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าและครอบคลุมเชื้อได้กว้างขวางกว่าที่มีอยู่ในเวลานี้

 

โลกเราประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งในการพัฒนาวัคซีนโควิด เวอร์ชั่น 1.0 ที่ถือเป็นความสำเร็จในช่วงเวลาสั้นๆ ได้อย่างที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อนในการพัฒนาวัคซีน

แต่เราก็ได้เห็นกันแล้วว่า แม้แต่วัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ ที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ใช้กันแพร่หลายมากที่สุด ก็ยังมีจุดอ่อนให้เชื้อร้ายอย่างไวรัสซาร์ส-โควี-2 เลี่ยงเร้นหลบหลีกได้โดยอาศัยการกลายพันธุ์ อันเป็นคุณลักษณะประจำตัวของไวรัส

นายแพทย์อามีร์ ข่าน ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของอัลจาซีรา บอกเล่าเอาไว้ในเว็บไซต์ข่าวแห่งนี้เมื่อ 14 กุมภาพันธ์ ว่า ในขณะที่วัคซีนรุ่นที่ 2 สามารถอาศัยพื้นฐานจากความสำเร็จของวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ เพื่อต่อยอดได้

แต่ก็ต้องพัฒนาไปอีกระดับหนึ่ง

 

แรกสุด วัคซีนรุ่นใหม่ต้องไม่จำกัดตัวเองไว้กับการกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองของภูมิคุ้มกันจากโครงสร้างของโปรตีนหนาม หรือสไปก์โปรตีนเพียงจุดเดียว

โอมิครอนแสดงให้เห็นแล้วว่า โปรตีนหนามที่ว่านี้ สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างได้ และเปลี่ยนได้เยอะมากๆ อีกด้วย

หากเราต้องการให้วัคซีนใหม่นี้มีประสิทธิภาพทั้งต่อเชื้อที่มีอยู่และเชื้อกลายพันธุ์ในอนาคต ไม่ว่าจะร้ายแรงหรือไม่ ก็ต้องคิดเรื่องนี้ใหม่

ประการถัดมา วัคซีนโควิดเวอร์ชั่น 2.0 ต้องสามารถลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสำหรับผู้ฉีดวัคซีนลง กล่าวคือ สามารถกระตุ้นแอนติบอดี้ชนิดยับยั้ง ให้คงอยู่ในตัวผู้รับวัคซีนได้ และได้ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่า นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งจะทำให้ความจำเป็นต้องฉีดเข็มกระตุ้นหรือบูสเตอร์ ลดลง

ไม่ใช่เดือนสองเดือนต้องฉีดกันทีอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้

ถามว่า วัคซีนเวอร์ชั่น 2 ที่ว่านี้ มีการคิดค้นพัฒนากันขึ้นมาแล้วหรือไม่?

 

คําตอบก็คือมีครับ

บริษัทที่กำลังพัฒนาวัคซีนโควิดเวอร์ชั่นใหม่อยู่คือ “กริทสโตน ไบโอ” บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพสัญชาติอเมริกัน ตั้งอยู่ในเมืองเอเมอรีวิลล์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

วัคซีนที่พัฒนาขึ้นใหม่ ใช้เทคนิคที่ถูกขนานนามว่า “เซลฟ์-แอมพลิฟายอิง เอ็มอาร์เอ็นเอ” (self-amplifying mRNA) เรียกย่อๆ ว่า “แซม” (SAM) ชื่อรหัสในการพัฒนาคือ GRT-R910

“แซม” ช่วยขยายศักยภาพของวัคซีนใน 2 ด้าน คือ ด้านหนึ่งมันจะไม่พุ่งเป้าตอบสนองไปที่สไปก์โปรตีนที่ผิวนอกของไวรัสเพียงอย่างเดียว แต่จะพุ่งเป้าไปที่โปรตีนหลักที่หุ้มพันธุกรรมของไวรัสอยู่ภายในด้วย โปรตีนหลักที่ว่านี้ ไม่อ่อนไหวต่อการกลายพันธุ์เหมือนกันสไปก์โปรตีน ดังนั้น ภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ถูกวัคซีนกระตุ้นขึ้นจึงไม่เพียงมีมากกว่า แต่ยังอยู่ได้นานกว่า ครอบคลุมเชื้อไวรัสกว้างขวางกว่าวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอที่ใช้กันในปัจจุบัน

ไม่จำเป็นต้องฉีดเข็มกระตุ้นถี่ยิบเช่นที่เป็นอยู่

 

ประสิทธิภาพที่แถมพกมาอีกอย่างของจีอาร์ที-อาร์ 910 ก็คือ มันใช้ปริมาณหรือโดสที่ต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอที่ผ่านมา

วัคซีน “จีอาร์ที-อาร์ 910″ พัฒนาไปไกลไม่น้อยแล้ว ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิก คือทดลองในผู้ป่วยที่เป็นคนจริงๆ ระยะที่ 1 อยู่ในประเทศอังกฤษ

คุณสมบัติที่ต้องการสำหรับวัคซีนโควิดเวอร์ชั่น 2.0 อย่างเดียวที่ ” จีอาร์ที-อาร์ 910″ ยังทำให้ไม่ได้ก็คือ วัคซีนรุ่นใหม่ต้องราคาถูก ขนส่งได้ง่าย เพื่อให้สามารถกระจายออกไปทั่วโลกให้มากที่สุดและเร็วที่สุดนั่นเอง

หากสามารถชดเชยคุณสมบัติอย่างหลังนี้ได้ รับรองว่า โควิด-19 ไม่ใช่เรื่องน่าวิตก น่ากลัวอีกต่อไป