วิน-วิน/ลึกแต่ไม่ลับ จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

 

วิน-วิน

 

สถานการณ์ “สภาล่ม” ซ้ำๆ ซากๆ ผนวกกับ 7 เสนาบดี “ภูมิใจไทย” ชักดาบไม่ยอมเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อบอยคอตการผลักดันการร่างสัญญาร่วมทุน โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของ กทม. ในการขยายสัญญาสัมปทานให้บริษัทในเครือบีทีเอสออกไปอีก 30 ปี

ซึ่งตัวเองแสดงจุดยืนชัดเจนไม่เห็นด้วยมาตลอด และสามารถตีตกมาแล้วก่อนหน้านี้ 2-3 ครั้ง แต่ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย “พี่เลี้ยง กทม.” เพียรพยายามดันเข้าพิจารณาในที่ประชุม ครม.ใหม่ นี่ก็อีกครั้งหนึ่งที่ถือว่าเป็นวาระสำคัญ หากที่ประชุมเห็นชอบก็ “จบข่าว” เจ้าภาพจงเจริญ

สองกรรมสองวาระ “สภาผู้แทนราษฎรล้ม-คณะรัฐมนตรีรวน” ผีก็ร้าย ความไข้ก็มา ต้อน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เข้าซองประตู ตกที่นั่ง “มืดแปดด้าน” นึกไม่เห็น คิดไม่ออก จนปัญญา ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร

ขณะที่ “บิ๊กตู่” กำลัง “มืดแปดด้าน” ทุกประตูอุดตันอยู่รอมร่อ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ “พล.อ.ประยุทธ์” ได้จังหวะ พบปะกับขาใหญ่บางพรรค เลยถอดเสื้อคุย ปรึกษาหารือ อาทิ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ-รมว.สาธารณสุข “นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม “นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รมว.ดิจิทัลฯ “นายสุชาติ ชมกลิ่น” รมว.แรงงาน

ข่าวทุกสำนักเสนอไปในทิศทางเดียวกันว่า ตอนหนึ่ง “พล.อ.ประยุทธ์” เปรยแบบปลงอนิจจังว่า “สถานการณ์เท่าที่เป็นอยู่ นายกฯ มีทางเลือกไม่มากแล้ว”

“เสี่ยหนู” ที่เพิ่งนำทีมภูมิใจไทยบีบไข่ดัน “บิ๊กตู่” บวมฉึ่งมาหยกๆ ทุบโต๊ะผาง ชิงจังหวะตบจูบ ทันทีทันใดว่า “นายกฯ มีทางเลือกเดียวครับ คืออยู่ครบเทอมและไม่ต้องห่วงจำนวน ส.ส.ในสภา หากมีการซักฟอก ฝ่ายค้านจะรวมเสียงได้ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง และเสียงสนับสนุนนายกฯ มั่นใจว่าจะหาได้ไม่น้อยกว่า 260 เสียงแน่นอน”

จากนั้น “เสี่ยหนู” ก็สวมบทที่ซึ่งตรงกับข้ามกับชื่อ หยิบกระดาษที่จดจำนวน ส.ส.ฝ่าายค้านและฝ่ายรัฐบาลมาแสดงให้ “บิ๊กตู่” ดูชมเป็นขวัญตา โชว์ตัวเลขกลมๆ 260 เสียง พร้อมอวดสรรพคุณมาจากส่วนไหน พรรคใดบ้าง

คนกำลังจนแต้ม “พล.อ.ประยุทธ์” ปุถุชน พลันที่เห็นตัวเลข ตาโตเท่าไข่ห่าน อุทาน “ว้าว” ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะยี่ห้อภูมิใจไทยเมื่อครั้งฝ่ายค้านเปิดศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือนกันยายน 2564 “เสี่ยหนู อนุทิน” เจอดราม่าวัคซีนเต็มสองแขน เล่นงานซะสะบักสะบอม หวิดจะม่อยกระรอก

แต่พอโหวตลงคะแนนศึกอภิปราย “เสี่ยหนู” กับ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม ที่โดนจับขึ้นเขียงหนักครือๆ กัน คะแนน “ไว้วางใจ” เด้งดึ๋งเป็นลูกชิ้นนายใบ้ สูงกว่าใครเขาเพื่อน 269 เสียง

คนกำลังมืดแปดด้าน อนธการรอบทิศ เห็นแสงสว่างหางโผล่ขึ้นมาบ้าง ช่างมีสุขเหลือจะกล่าว หลังจากโชว์พาว เข้าตาทั่นผู้นำในวันนั้นแล้ว “เสี่ยหนู” ก็แปรสภาพเป็นขวัญใจคนใหม่ของ “บิ๊กตู่” ในเวลาไม่มากแค่สัปดาห์เดียว เมื่อก่อนยังไม่อยากมองหน้าเสียด้วยซ้ำไป

 

กระนั้นก็ตาม มีข่าวลับบ้าง ลวงบ้าง ระบุว่า วันนั้นมีการประชุม “ศบค.” หรือ “ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ชุดใหญ่” แต่มีรัฐมนตรีหลายคนไม่มาตามนัด ติดภารกิจอื่น ทั้ง “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

หลังประชุม “พล.อ.ประยุทธ์” ไปตั้งวงจิบกาแฟกับคณะเสนาบดีที่มีชื่อดังรายนามข้างต้น มีการร่ายความในใจยืดยาว เกี่ยวกับปัญหาการเมือง ปัญหาสภาผู้แทนราษฎร “ล่ม”

ส่งผลให้กระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ทำให้อยู่ยาก อาจจะนำพาไปสู่การ “ยุบสภา” ทั้งที่ไม่อยากยุบ ต้องการผลักดันให้ธุรกิจสีเขียวบรรลุเป้าหมายก่อน โดยส่วนตัวไม่ยึดติด อยากใช้ชีวิตบั้นปลายกับครอบครัว แต่เป็นห่วงการประชุมเอเปคปี 2565 ที่ไทยได้รับโอกาสเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 1-3 ธันวาคม จะขอพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการนำประเทศไทยสู่การเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกยุคใหม่

และอื่นๆ อีกหลายปมเงื่อน ส่วนใหญ่บ่นเสียดายที่ตัวเองอาจจะไม่ทัน เพราะมีทางเลือกไม่มาก ซึ่ง “นายอนุทิน” ป้อนยาบรรเทาความเจ็บปวดด้วยอิริยาบถปลอบใจดังที่เป็นข่าวทุกประการจริง แต่ตัวเลขอาจจะคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ปังๆ อยู่ที่ 275 ในขณะที่ 269 มันเป็นของเก่าเมื่อครั้งโดนศึกซักฟอก

ต้องยอมรับว่า ปัญหาของ “รัฐนาวาตู่” สะสมมาเนิ่นนาน หนักหน่วง ไม่ใช่สิวขึ้นเม็ดสองเม็ดแล้ว บอบช้ำทุกเรื่อง ไม่ว่าการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม หรืออื่นใด

ที่ถูกเขย่าขวดว่า ไม่มีประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถ ไร้ความน่าเชื่อถือ ประชาชน-ชาวบ้านตาดำๆ-พ่อค้าแม่ขาย นักธุรกิจน้อยใหญ่เดือดร้อนกันหนัก ห้องเครื่องมาจากการบริหารที่ผิดพลาด

นำไปต่อยอดมัดรวมเข่งเดียวกับปัญหาสภาผู้แทนราษฎรที่ล่มซ้ำซาก ผลมาจากเสียงสนับสนุนพรรคร่วมขาดเอกภาพ ปริ่มน้ำ “คณะรัฐมนตรี” เริ่มไม่มีใครกลัวใคร ภาวะผู้นำ “บิ๊กตู่” ไร้มนต์ขลัง

ปัญหาทั้งในและนอก หนักไม่ต่างอะไรกัน เหนือสิ่งอื่นใด ยังมี “เรือใบ” อีกหลายดอกที่จ่อเจาะยางรถยี่ห้อปุโรทั่งที่ชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์”

หลังวันที่ 23 สิงหาคม 2565 ไม่น่าอภิรมย์ใจสักเท่าใด กับปมการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปีของ “บิ๊กตู่” ซึ่งกูรูทุกสำนักฟันธงตรงกันว่า “รอดยาก” ถึง “ยากมาก”

กรณีที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” โดนเช็กบิล โดยปม 8 ปีตามกฎข้อบังคับของรัฐธรรมนูญ หากไม่มีการ “ยุบสภา” ต้องเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีกันใหม่

ยึดตามพื้นฐาน “ขั้วอำนาจเดิม” เป็นตัวตั้งได้ขานชื่อก่อน ตามกลไกของ “ช่องทางที่ 1”

คนชื่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็น “บัญชีรายชื่อ” เพียงคนเดียวของพรรคร่วม

ร่วมด้วยช่วยกัน ดัน “เสี่ยหนู” ขึ้นลิฟต์เป็นนายกฯ ขัดตาทัพ ลากสถานการณ์ไปจนครบเทอม ช่วยระวังหลังให้ “พล.อ.ประยุทธ์” อยู่รอดปลอดภัย แมลงวันไม่ตอม ยุงไม่กัด

“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. พรรคที่มีเสียงมากที่สุด เสือข้ามห้วยไปนั่ง “รัฐมนตรีว่าการมหาดไทย” คุม “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”

“กลุ่ม 18” ในสังกัด “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เป็นเชนคัมแบ๊ก

“วิน-วิน” ทุกฝ่ายครับพี่น้องเอย