อจ.หนู กัญชา เพิ่มพลัง ‘เหนียว’ ให้ตู่/อจ.หนู กัญชา เพิ่มพลัง ‘เหนียว’ ให้ตู่/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

อจ.หนู กัญชา

เพิ่มพลัง ‘เหนียว’ ให้ตู่

 

ในเฟซบุ๊กของนายอนุทิน ชาญวีรกูล

ทีมแอดมินที่ดูแลเฟซบุ๊กนี้ ได้ชูประโยคขึ้นมาประโยคหนึ่ง เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา

นั่นคือ

“สายเหนียวต้องหนู กันภัย

สายอนามัย ต้องหนู กัญชา”

“หนู กันภัย” ที่ว่าคงไม่ใช่ใครอื่น นอกจากนายสมพงษ์ กันภัย หรืออัครพัชร์ กัณณ์ภัยย์ “อาจารย์สักยันต์” ผู้โด่งดังนั่นเอง

โดยเฉพาะการสักยันต์แบบที่เรียกว่ายันต์ “ห้าแถว”

ที่ว่ากันว่าว่ามีอิทธิฤทธิ์ทำให้ผู้สักนั้น “เหนียว” อยู่ยงคงกระพัน ของมีคมฟันแทงไม่เข้า

ส่วนสายอนามัย ต้อง “หนู กัญชา” นั้น

มีความเป็นมา

 

ทั้งนี้ ทีมแอดมินของเฟซบุ๊กนายอนุทิน เชื่อมโยงไปถึงเพลงของพี่แอ๊ด คาราบาว นายยืนยง โอภากุล ที่สนับสนุนนโยบายกัญชา และได้แต่งเพลงให้นายอนุทินไว้ตอนหนึ่งว่า

“ฉันเคยอ่านนิทานอีสป

ที่ในตอนจบ หนูช่วยราชสีห์

กัญชง กัญชา เป็นของดี

ถ้ามีหนูช่วย ก็คงได้ใช้…

…กัญชามีจารึกในประวัติศาสตร์

ว่าไทยเป็นชาติ ใช้กัญชา มาก่อนใคร

สายเหนียว ต้องหนู กันภัย

สายอนามัยต้องหนู กัญชา…”

นั่นแหละ คือที่มาของหนู กัญชา

และเฟซบุ๊กนายอนุทินขยายความเพิ่มว่า หลังจากขับเคลื่อนนโยบายกัญชาเสรีมาอย่างยาวนาน

วันนี้ 8 กุมภาพันธ์ 2565 นายอนุทินได้ลงนามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ปลดกัญชาออกจากชื่อยาเสพติดแล้ว

ระหว่างพิธี เขา (นายอนุทิน) ได้คลอเพลงนี้เบาๆ

“สายเหนียวต้องหนู กันภัย สายอนามัยต้องหนู กัญชา”

ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงของนายอนุทิน และพรรคภูมิใจไทย

 

และนอกจากอวดเรื่องกัญชาแล้ว

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ก็ปรากฏกระแสข่าวที่อ้างคำพูดของคนโตแห่งทำเนียบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ที่ได้เอ่ยประโยคหนึ่งออกมา “หนูช่วยกันหน่อยนะ”

ซึ่งแม้ว่าในเวลาต่อมา “บิ๊กตู่” จะออกตัวว่า จำไม่ได้ พูด “หนูช่วยหน่อยนะ” ตอนไหน

แต่ยอมรับว่าได้ขอความร่วมมือหัวหน้าพรรคร่วมทุกคนช่วยกันทำงานเดินหน้าประเทศ

“ผมไม่รู้ว่าไปพูดตอนไหนจำไม่ได้ หนูช่วยหน่อยนะ ผมก็บอกทุกท่าน ทั้งท่านจุรินทร์ (ลักษณวิศิษฏ์) อะไรต่างๆ ในพรรคร่วมรัฐบาล หัวหน้าพรรค ก็บอกให้ช่วยกันหน่อยนะในการทำงานให้ประเทศชาติเดินหน้าไปให้ได้ พูดอย่างนี้ไม่ใช่ประเด็นทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น เพราะทุกคนมีหน้าที่ของตัวเองอยู่แล้ว พรรคร่วมรัฐบาลก็คือพรรคร่วมรัฐบาล และทุกพรรคยังยืนยันในการทำงานร่วมกันต่อไป ไม่ได้มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น”

ซึ่งฟังตามนี้ ก็ถือว่าเป็นการยอมรับกลายๆ ของการเรียกร้องให้แกนนำพรรครัฐบาลร่วมกันประคับประคองรัฐบาลที่กำลังเผชิญปัญหาอย่างหนักหน่วงนั่นเอง

ทำให้ชื่อ “หนู” โดดเด่นขึ้นไปอีก

 

ซึ่งการที่กระแสข่าวมุ่งไปยัง “หนู–นายอนุทิน” อย่างเฉพาะเจาะจง

ก็คงสืบเนื่องมาจากกรณีร้อนๆ ที่นายอนุทินนำทีมรัฐมนตรีรวม 7 คนของพรรคภูมิใจไทย บอยคอตไม่เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับท่าทีของกระทรวงมหาดไทย กรณีสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อขยายสัญญาสัมปทานให้กับ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ออกไปอีก 30 ปี แลกกับเก็บค่าโดยสาร 65 บาทตลอดสาย ที่พรรคภูมิใจไทยเห็นว่าแพงเกินไป และไม่ควรต่อสัญญาสัมปทาน รวมทั้งควรเคลียร์ปัญหาทางกฎหมายต่างๆ ให้เรียบร้อยก่อน

ทำให้กระทรวงมหาดไทยต้องถอนเรื่องออกไป

พร้อมกับเกิดภาพความร้าวฉานและเป็นอื่นในรัฐบาล ระหว่างนายอนุทินและพรรคภูมิใจไทยกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อันอาจจะทำให้รัฐบาลซวดเซได้

จึงนำไปสู่การหารือนอกรอบระหว่างนายกรัฐมนตรีกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล

พร้อมเกิดกระแสข่าวออกมาถึงคำเรียกร้องของ พล.อ.ประยุทธ์ให้ “หนูช่วยกันหน่อยนะ” เพื่อมิให้นายอนุทิน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ และพรรคภูมิใจไทยเป็นอื่น

 

และดูจะมีปฏิกิริยาตอบรับในเชิงบวก

เมื่อมีกระแสข่าวเพิ่มเติมยิ่งกว่านั้นว่า ในการหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ นายอนุทินนอกจากจะแสดงความเป็นฝ่ายเดียวกันกับ พล.อ.ประยุทธ์

พร้อมโชว์โพย 260 ส.ส.ที่พร้อมเป็นพลังสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์มั่นใจว่าจะสามารถนั่งในเก้าอี้ผู้นำอย่าง “เหนียวแน่น” ต่อไป

ซึ่งนายอนุทินอธิบายถึงกระแสข่าวโชว์โพย 260 ส.ส.ที่จะอยู่ร่วมขั้วรัฐบาล ว่าเป็นโพยที่วิเคราะห์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ดูว่าแต่ละเสียงมาจากไหน เนื่องจากพรรคมี ส.ส.เข้ามาเติม และ ส.ส.หลายคนแสดงความจำนงจะมาร่วมงานทางการเมืองกับ “ฝ่ายเรา” ในสมัยหน้า

“เราก็พยายามอธิบายให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ฟังว่าต้องประคับประคองรัฐบาล ให้ทำงานให้ยาวนานมากที่สุด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ตัวเลขยังเปิดเผยในทางสาธารณะไม่ได้ แต่เราต้องให้ความมั่นใจกับหัวหน้ารัฐบาลว่าเราจะต้องทำทุกอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้ท่านนำรัฐนาวานี้ไปให้ครบเป้าหมาย ท่านนายกฯ ก็พูดมาว่า วู้ยทางเลือกไม่เยอะเลย แล้วสไตล์ผม ผมไม่เคยพูดให้คนกำลังใจถดถอย ผมก็พูดว่าทางเลือกมีอยู่หลายทางเลือก ท่านก็ต้องอยู่ต่อไป”

ส่วนปัญหาของกระทรวงมหาดไทย นายอนุทินอธิบายว่า เมื่อกระทรวงคมนาคมเป็นของพรรคภูมิใจไทย พอมีเรื่องรถไฟสายสีเขียวมา ก็ทำหนังสือชี้แจงให้ชัดเจน ซึ่ง รมว.คมนาคมได้ชี้แจงกับท่านนายกฯ ว่าหากไม่พิจารณาคำชี้แจงก็อาจจะลำบากใจ เมื่อมีการบรรจุวาระเข้ามา เมื่อเราเห็นตรงนี้ เราก็เอ๊ะ…ทำไมไม่คุยกันก่อน จึงต้องแสดงท่าที เมื่อไม่เห็นด้วยแล้ว เราก็แสดงท่าทีให้เห็น เราจึงบอกว่าเราหลีกเลี่ยงการปะทะในที่ประชุม ครม. เมื่อในวงจบยาก เราก็สงวนสิทธิ์เรา เมื่อท่านนายกฯ บอกว่าให้มาคุยกันก่อน ทางมหาดไทยกับคมนาคมก็ต้องมาคุยกัน หากยังเห็นต่างกัน ก็ต้องมาให้ท่านนายกฯ ตัดสิน

“มันไม่ใช่เรื่องขัดแย้งกันของพรรคการเมือง”

คือสิ่งที่นายอนุทินยืนยันและพยายามอธิบายเพื่อลดอุณหภูมิความขัดแย้ง

 

พิจารณาจากท่าทีและคำพูดของนายอนุทินข้างต้นดังกล่าว

ชัดเจนว่า นายอนุทินและพรรคภูมิใจไทยพยายามให้ความมั่นใจ พล.อ.ประยุทธ์ ว่านอกจากจะไม่ใช่ปัญหาแล้ว

ยังเป็นเหมือนอาจารย์หนู กันชัย ที่สักยันต์ 5 แถว เพิ่มความ “เหนียว” ให้กับรัฐบาล

คือ “ภูมิใจไทย” ยังคงจะเป็นหลักมั่นคงให้กับรัฐบาล ขณะที่พรรคแกนนำอย่างพรรคพลังประชารัฐกำลังมีปัญหาแตกแยก จนทำให้รัฐบาลถูกมองว่าไร้เสถียรภาพอาจถึงขั้นยุบสภา

แต่นายอนุทินย้ำถึงความพยายามให้รัฐบาลอยู่ครบเทอม

นี่เองจึงทำให้นายอนุทินโดดเด่นกับบทบาทเป็นเสาหลักให้กับรัฐบาล

 

ซึ่งตรงนี้ต้องยอมรับว่า ในบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล ต้องถือว่าพรรคภูมิใจไทยมีจุดแข็งคือ มีความเป็นเอกภาพสูง

ไม่เกิดความขัดแย้ง จนเกิดปรากฏการณ์เลือดไหลออกอย่างที่เห็นกับพรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์

นอกจากไม่ไหลออกแล้ว ยังมีการไหลเข้าอีกด้วย

สดๆ ร้อนๆ คือ 3 ส.ส.ในกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ถูกขับออกจากพรรคพลังประชารัฐ คือ นายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายวัฒนา ช่างเหลา ส.ส.ขอนแก่น นายสมศักดิ์ พันธ์เกษม ส.ส.นครราชสีมา ไม่ยอมไปอยู่พรรคเศรษฐกิจใหม่กับ ร.อ.ธรรมนัส

ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าว นายอนุทินปล่อยมุขด้วยการระบุว่า “ไม่เคยดูด หนูเปล่านะ เขามาเอง”

พร้อมทั้งยืนยันไม่มีปัญหากับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ด้วยเพราะว่า “เพื่อนกันทั้งนั้น พรรคพวกเดียวกันทั้งนั้น อยู่พรรคเดียวกันคนละพวก กับอยู่คนละพรรคพวกเดียวกันมันดีทั้งคู่”

และก่อนหน้านี้ นายอนุทินและ ร.อ.ธรรมนัสก็ได้โชว์ความสนิทสนมด้วยการทักทาย จับไม้จับมืออย่างสนิทสนมกลางห้องประชุมสภา

จนนำไปสู่การฟื้นความสัมพันธ์ของบุคคลทั้งสองว่ามีมาอย่างยาวนาน และเป็นไปได้ที่ในอนาคตพรรคของนายอนุทินจะจับมือเป็นพันธมิตรกับกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส

กลายเป็นสมการการเมืองอีกสมการหนึ่ง

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็ดูไม่ติดใจที่ 3 อดีต ส.ส.ของพรรคไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ว่า ก็ดี อยากจะไปอยู่ที่ไหนก็เรื่องของเขา ทำงานให้ประชาชน อยู่ที่ไหนก็ได้

ทำให้พรรคภูมิใจไทยไม่เผชิญกับแรงเสียดทานทางการเมือง ถือเป็นอีกจุดเด่นหนึ่งคือไม่เป็นศัตรูทางการเมืองกับฝ่ายใด ขณะเดียวกันเสียงในสภาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

โดยปัจจุบันจาก 59 เสียงเพิ่มเป็น 62 เสียง

และน่าจะเพิ่มขึ้นอีก นั่นย่อมทำให้ พล.อ.ประยุทธ์อุ่นใจ

 

ทั้งนี้ การที่นายอนุทินโชว์โพยเสียงในสภาให้ พล.อ.ประยุทธ์มั่นใจว่าอยู่ในระดับ 260 เสียงนั้น

ย่อมไม่ใช่ไร้ที่มาที่ไป

หากแต่มันให้นัยว่า ไม่เพียง ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้นที่จะสนับสนุนรัฐบาล หากแต่ยังมี ส.ส.ฝ่ายค้านพร้อมจะแปรพักตร์เข้ามาร่วมด้วย

ตัวเลข 260 เสียงที่นายอนุทินเคลมนั้น คาดหมายว่าประเมินจากคะแนนเสียงที่นายอนุทินและนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เลขาธิการพรรค ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อ 4 กันยายน 2564 ที่ได้คะแนนไว้วางใจ 269 เสียงเท่ากัน

พบว่ามี “ส.ส.งูเห่า” จากฝ่ายค้าน ร่วมออกเสียง ทั้งไว้วางใจ งดออกเสียง ไม่ปรากฏการลงมติ กระจายไปทุกพรรค ทั้งพรรคก้าวไกล พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อชาติ พรรคเศรษฐกิจใหม่

สะท้อนให้เห็นว่า มี ส.ส.ฝากเลี้ยง หรือพร้อมจะแปรพักตร์แฝงอยู่ในพรรคฝ่ายค้าน

แน่นอนในจำนวนนั้นย่อมถูกมองว่าเอนเอียงมายังพรรคภูมิใจไทย นายอนุทินจึงสามารถนำมาเคลมให้ พล.อ.ประยุทธ์สบายใจถึงเสียงในสภา ว่าจะทำให้นั่งเก้าอี้นายกฯ ได้เหนียวแน่นจนครบวาระ

 

ปรากฏการณ์เหล่านี้ ทำให้บทบาทของนายอนุทินและพรรคภูมิใจไทยโดดเด่น มีน้ำหนัก เสียงดัง

ทั้งจากกรณีเขียวกัญชา เขียวรถไฟฟ้า และไฟเขียวรับ ส.ส.ที่แห่เข้ามาซบ จนพรรคขยายขนาด สวนทางกับพรรครัฐบาลอื่น

ซึ่งก็ต้องติดตามว่า ในจุดเด่นนั้น จะทำให้นายอนุทินและพรรคภูมิใจไทยสร้างความทะเยอทะยานทางการเมืองขึ้นไปในระดับไหน

ยังคงเล่นบทพระรอง ช่วยสักยันต์เพิ่ม “ความเหนียว” ให้ พล.อ.ประยุทธ์ไปต่อ

ขณะที่ตนเองและพรรคคอยหยิบชิ้นปลามันในแถวที่สองอย่างที่ถนัด

หรือพร้อมจะก้าวไปสู่พรรคระดับแกนนำ และถึงเวลาแล้วที่หนูจะกลายเป็น “พญาหนู”