ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 กันยายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ข้อสังเกตประการหนึ่ง หลังเหตุการณ์วันที่ 25 สิงหาคม ก็คือ
ที่เห็นได้ชัดว่าหายไปจากสังคมไทย พร้อมกับการหายตัวของ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ก็คือเมตตา
หรืออีกชื่อหนึ่งว่าการเห็นคนอื่นเป็นคนเหมือนและเท่ากับตัวเอง
เพราะไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์
นักเขียนชั้นกวีรุจีรัตน์
ผู้มีเชื้อมีสาย
กระทั่งผู้ (ที่คล้ายจะ) ทรงศีล
ฯลฯ
รวมไปถึงกองหนุนกองเชียร์ของท่านเหล่านี้
ล้วนแสดงออกถึงความสะใจหรือความยินดีปรีดาที่เกินกว่าระดับปกติ
และเพื่อความสะใจหรือยินดีนั้น
หลายท่านพร้อมสละสิ่งที่ยึดถือกันว่าเป็นคุณค่าหรือความดีงามอันพึงยึดถือ หรือเคยประกาศตัวว่ายึดถือ
เช่น
ความสุภาพอ่อนโยน
การไม่หยามเหยียดหรือกดขี่เพศแม่
ความยับยั้งชั่งใจ
ฯลฯ
ถ้าไม่ใช่เพราะไม่เมตตาต่อกัน
หรือเพราะไม่ได้เห็นว่าเป็นคนเท่ากัน
ทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ
อันที่จริงจะบอกว่าความเมตตาหรือความปรารถนาดีที่มีต่อกันเพิ่งจะหายไปก็ไม่ถูกต้องทีเดียวนัก
สังคมไทยเผลอทำคุณสมบัติข้อนี้ตกหล่นไปหลายหน (ทั้งโดยเจตนาหรือว่าจะเพราะด้วยความเคยชิน)
โดยเฉพาะในเวลาที่ความขัดแย้งทางการเมืองพุ่งสูง
เอาเฉพาะในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
ฆ่ากันในสงครามคอมมิวนิสต์นั่นใช่
6 ตุลา ก็ใช่
พฤษภาคม 2535 นั่นก็ใช่
และที่เพิ่งผ่านไปหมาด ชนิดรอยเลือดในใจยังไม่กรัง
ก็คือกรณีร้อยศพ 2553
ถ้ามีเมตตาต่อกัน (อย่างที่พยายามจะแสดงให้โลกเห็น)
หรือถ้าเห็นว่าคนเป็นคนเท่ากัน (ซึ่งพยายามจะยืนยันหรือปลอบใจตัวเองอย่างนั้น)
เราจะกระทำต่อกันเช่นนี้ได้ลงคอหรือ
ตัวอย่างของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณยิ่งลักษณ์ อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องเฉพาะตัวก็ได้
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นส่วนประกอบหนึ่งในภาพใหญ่ของความขัดแย้งในสังคมไทย
ก็เริ่มจากไม่เมตตาต่อกัน ไม่เห็นว่าเป็นคนเหมือนกัน-เท่ากันเสียแล้ว
ที่จะพูดดีต่อกันนั้นไม่มี
มีแต่จะประณาม หยามเหยียด หรือกดให้อีกฝ่ายหนึ่งต่ำลงไป
เป็นปิศาจ เป็นอสุรกาย หรือเป็นยักษ์เป็นมาร
พูดกันมากๆ เข้า ก็เผลอเชื่อเอาว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ
จากพูดเฉยๆ ก็ขยับปรับระดับขึ้นไปให้หนักข้อขึ้น รุนแรงขึ้น
สุดท้ายถึงได้ฆ่า (หรือสั่งฆ่า) กันกลางเมืองได้แบบหน้าตาเฉย
ไอ้ที่ไม่ชอบหน้ากันอยู่แล้วก็เพิ่มระดับของความเกลียดชังมากขึ้น
แล้วมันจะกลับคุยกันรู้เรื่องไหม
มันจะต้องกินเวลาอีกเท่าไหร่ ถึงจะทำให้สังคมพร้อมจะ “ลืม” หรือก้าวข้ามความรุนแรงที่กระทำต่อกันนี้ได้
จะต้องรอไปอีกชั่วอายุคน จนกว่าคนรุ่นนี้จะล้มหายตายจากไปกันหมดก่อนหรือไม่
หรือจะมีข้อตกลงอะไรบางอย่างร่วมกัน จนมีกลไกที่ทุกฝ่าย “พอรับได้”
เพื่อมาจัดการกับความขัดแย้งที่ยกระดับขึ้นมาถึงขั้นเป็นความเกลียดชังนี้ให้ได้
ก่อนจะเพลิดเพลินกับการฆ่ากันไปทั้งสองข้าง
ความไม่เมตตาหรือการเห็นคนไม่เท่ากันนั้น
ไม่ได้มีแต่ฝ่ายหนึ่งหรือสีหนึ่งปฏิบัติต่ออีกฝ่ายหนึ่งอีกสีหนึ่งเท่านั้น
แม้กระทั่งในสีหรือกลุ่มเดียวกันก็มี
มีตัวอย่างให้เห็นอยู่ด้วยกันทั้งสองฝ่ายครับ
ยกตัวอย่างขึ้นมา เดี๋ยวจะกลายเป็นเพิ่มระดับความเกลียดชังมากขึ้นไปอีก
เอาเป็นว่า ถ้าสังเกตดีๆ ก็จะได้เห็นได้ยินอยู่แทบทุกวัน
ท่านไหนหรือองค์กรใดที่อยากจะทำให้ “ความปรองดอง” เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย
ฝากประเด็นนี้ไปขบด้วย
ส่วนที่มีญาติมิตรตั้งคำถาม (ที่ตอบยาก) ว่า การเมืองไทยหรือสังคมไทยหลังจากที่ไม่มีคุณยิ่งลักษณ์ (หรือบางคนบอกว่าหมดยุค “ชินวัตร” ไปแล้ว)
จะมีหน้าตาอย่างไร
ดีขึ้น-แย่ลง
ด้วยข้อมูลและสติปัญญาที่มีอยู่วันนี้ ขออนุญาตผัดไปก่อนครับ
อย่างน้อยก็จนกว่าจะได้ยินว่าฝ่ายที่หายหน้าไปจะสื่อสารกับสาธารณชนอย่างไร
และปฏิกิริยาตอบรับ (จากทุกฝ่าย) จะเป็นอย่างไร
รวมไปถึงว่า เราทุกคนได้ “บทเรียน” จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร
หนังชีวิตน่ะครับ ต้องดูกันยาวๆ