‘คัมภีร์โยนี’ ยาถอนพิษ ‘เร้นลับ’ ของหญิง ที่เรียกว่า ‘ความจริง’/บทความพิเศษ สุดคนึง บูรณรัชดา

บทความพิเศษ

สุดคนึง บูรณรัชดา

 

‘คัมภีร์โยนี’

ยาถอนพิษ ‘เร้นลับ’ ของหญิง

ที่เรียกว่า ‘ความจริง’

 

“การไม่รู้จักร่างกายตัวเองของผู้หญิงทำให้ผู้หญิงเสียประโยชน์พึงมีพึงได้ในชีวิต”

คือประโยคเปิดของหนังสือเล่มหนา 600 กว่าหน้า ชื่อภาษาไทยว่า “คัมภีร์โยนี” แปลโดยนิธินันท์ ยอแสงรัตน์ จากหนังสือภาษาอังกฤษ “The Vagina Bible” ที่เคยติดอันดับ New York Times Best Seller แต่งโดยแพทย์ด้านสูตินรีเวช พญ.เจ็น กันเทอร์

ผู้แต่งคงเลือกใช้คำว่า “คัมภีร์” อย่างจงใจ ทั้งในเชิงการใช้และการเผยแพร่

ไบเบิล หรือพระคัมภีร์ในศาสนาคริสต์ นอกจากแบ่งเป็นพระคัมภีร์เก่าและใหม่ ยังแบ่งเรื่องราวเป็นบท เป็นวรรค ผู้อ่านอยากได้เรื่องราวทางจิตวิญญาณแบบไหน ทุกข์ใจเรื่องอะไรสามารถเลือกอ่านเฉพาะวรรคนั้นบทนั้น

“คัมภีร์โยนี” ก็ไม่ต่างกัน คัมภีร์เกี่ยวกับอวัยวะเพศของผู้หญิงเล่มนี้แบ่งออกเป็น 10 หัวข้อใหญ่ 47 บทย่อย หากมีข้อสงสัยเรื่องไหน ทุกข์ใจเรื่องอะไรเกี่ยวกับ “โยนี” จะเลือกอ่านเฉพาะบทก็ย่อมได้

พระคัมภีร์เป็นหนึ่งในหนังสือที่หาอ่านได้ง่ายที่สุดในโลก หากใครเคยดึงลิ้นชักตู้ข้างหัวเตียงโรงแรมสมัยก่อนจะพบว่ามีพระคัมภีร์ซ่อนอยู่

ยึดตามสถิติกินเนสส์บุ๊กปี 1995 พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่มีการเผยแพร่มากที่สุดในโลกโดยมีการตีพิมพ์และขายกว่า 5 พันล้านเล่ม

ขณะที่พระคัมภีร์อยู่ทุกที่ แต่หนังสือที่อธิบายเรื่องโยนีนั้นหาได้ยากเหลือเกิน

เมื่อตั้งชื่อว่าคัมภีร์ ผู้เขียนคงอยากให้เล่มนี้กลายเป็นหนังสือสามัญประจำบ้านไม่ต่างจากพระคัมภีร์

คำถามต่อไปคือ ทำไมหนังสือหัวข้อนี้ถึงหายากนัก

 

หากเปิดภาพที่ 1 ของหนังสือแล้วไม่รู้จักชื่ออวัยวะครบก็อย่าประหลาดใจ คุณไม่ใช่คนเดียว ผู้เขียนรีวิวก็เช่นกัน หากเราไม่ได้อยู่ในแวดวงสูตินรีแพทย์เหมือนผู้แต่งแล้ว เราจะรู้จักเรื่องเหล่านี้ดีแค่ไหน ความรู้เป็นของใคร แล้วทำไมเราถึงไม่ถูกสอนให้รู้จักร่างกายตนเอง โดยเฉพาะความรู้ที่พิสูจน์ได้ตามข้อมูลหลักฐาน

หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็นสามส่วนที่น้ำหนักไม่เท่ากัน

ส่วนแรก คือ ส่วนระบายความคับข้องใจของผู้แต่งต่อโลกชายเป็นใหญ่ที่ยึดพื้นที่และความรู้ของประวัติศาสตร์มนุษย์มาหลายพันหลายหมื่นปี ยึดมาจนกระทั่งถึงโยนีของเพศหญิง การแพทย์ในยุคสมัยของฮิปโปเครติส แพทย์ซึ่งมีแต่ผู้ชายไม่เคยตรวจภายในผู้หญิง จะผ่าศพยังไม่กล้า เพราะบรรทัดฐานสังคมกำหนดว่าไม่ควรแตะต้องผู้หญิงที่ไม่ใช่คู่สมรส

ความรู้เกี่ยวกับร่างกายผู้หญิงในตำราแพทย์ยุคแรกที่เขียนโดยผู้ชายจึงเกิดจากการตีความคำบอกเล่าของผู้หญิงและหมอตำแย

อันที่จริงไม่ต้องย้อนไกลถึงกรีกโบราณ แพทย์ในช่วงปี 1920-1930 ยังคิดว่าช่องโยนีของผู้หญิงเต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรียอันตราย

ซึ่งผู้เขียนบอกว่าไร้สาระที่สุด

เราจะอยู่รอดกันมาถึงตอนนี้ได้อย่างไร หากทวดหรือทวดของทวดเราติดเชื้อแบคทีเรียร้ายในช่องคลอดตลอดเวลา

ขนาดตำราแพทย์เพียงช่วงสองสามทศวรรษก่อนหน้าในปี 1988 ยังเรียก “คลิตอริส” อวัยวะที่มีหน้าที่ให้ความสุขทางเพศของผู้หญิงว่า “ลึงค์ย่อส่วน” เลย

 

ส่วนที่สองซึ่งอ่านได้อย่างเพลิดเพลินและแทรกอยู่ตามบทต่างๆ ของหนังสือ คือ ส่วนที่ฟาดฟันกับ “เรื่องเล่า” “ตำนาน” หรือ “มายาคติ” ทั้งหลายที่แพร่หลายในโลกอินเตอร์เน็ต

ผู้เขียนรีวิวเพิ่งเรียนรู้ครั้งแรกว่ามีคนใช้ฟองน้ำทะเลที่แปรรูปจากสัตว์น้ำมาใช้แทนผ้าอนามัย ซึ่งไม่ควรใช้เป็นอันขาดเพราะมันเก็บกักแบคทีเรียอันตรายจำนวนมากที่กำจัดไม่ได้ แล้วยังมีผ้าอนามัยแบบถักโครเชต์

และเว็บไซต์ Goop ของดาราฮอลลีวู้ดชื่อดังอย่างกวินเน็ธ พัลโทรว์ ที่ขายไข่หยกให้สอดเข้าไปในช่องคลอด โดยอวดสรรพคุณว่าเป็นแหล่งพลังงานและเชื่อมต่อกับร่างกาย (ทุกวันนี้ก็ยังขายอยู่ สามารถเซิร์ชดูได้)

เวลาพูดถึงเรื่องเหล่านี้ ผู้แต่งไม่ได้เล่าเปล่า แต่ยังไปทดลองทำอะไรเองมากมาย

เช่น เอาฟองน้ำทะเลไปต้มอยู่เป็นชั่วโมงเพื่อจะดูว่ามันฆ่าเชื้อได้หรือไม่ หรือไปหาผ้าอนามัยโครเชต์บนเว็บขายของผลิตภัณฑ์ทำมือยอดนิยมอย่าง Etsy มาทดลองใช้

มายาคติของโลกธุรกิจการค้าก็โดนทะลายไม่แพ้กัน เมื่อสองสามปีนี้เองผู้เขียนรีวิวเคยเห็นโฆษณาติดประตูลิฟต์กลางห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เรื่องการ “ทำสาว” ช่องโยนี หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “vagina rejuvenation” แปลยืดยาวตรงตัวว่า “การฟื้นฟูช่องโยนีให้เป็นเด็กอีกครั้ง”

ผู้แต่งหนังสือคัมภีร์โยนีประกาศกร้าวว่าแนวคิดทำสาวนี้ไม่มีคำจำกัดความทางการแพทย์ แม้การผ่าตัดเย็บซ่อมช่องโยนีจะถูกกฎหมาย แต่ควรทำสำหรับผู้มีบาดแผลฉีกขาดเท่านั้น ถ้าคิดจะทำเพื่อปรับปรุงชีวิตเซ็กซ์ไม่ใช่หนทางที่ฉลาดเพราะนอกจากไม่ช่วยยังทำให้เจ็บปวดโดยไม่จำเป็น

เสียดายนิดเดียวว่ามายาคติส่วนใหญ่ที่โดนทะลายน่าจะเป็นมายาคติประเภทที่คนซีกโลกตะวันตกอ่านได้สนุกกว่า เพราะแพร่หลายอยู่ในโลกตะวันตก ถ้าหากมีการทะลายมายาคติของโยนีที่เผยแพร่ในไทยหรือสังคมตะวันออกเป็นหลักคงสนุกไปอีกแบบ

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีมายาคติที่ผู้หญิงไทยได้ยินกันเป็นประจำ เช่น ช่องโยนีหลวมเพราะมีเซ็กซ์บ่อยครั้งเกินไป หรือต้องทำความสะอาดภายในช่องโยนี ไม่เช่นนั้นจะสกปรกมีตกขาว เป็นต้น

 

ส่วนที่สาม ซึ่งเป็นเนื้อหาเกือบทั้งหมดของหนังสือ เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ “คัมภีร์” ให้ข้อเท็จจริงเท่าที่พิสูจน์ทราบทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน นั่นคือ การให้ความรู้เกี่ยวกับโยนี

ผู้เขียนรีวิวขอเอ่ยถึงชื่อบทย่อยบางบทเพื่อให้เห็นภาพ เช่น (1) โยนี (8) ความสำคัญของกางเกงชั้นใน (11) การทำความสะอาดโยนี (17) สุขอนามัยช่วงมีประจำเดือน (23) เสริมสวย ฉีดสารเสริมสาว และทำสาว (25) การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (32) ช่องโยนีติดเชื้ออักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (41) รู้สึกคันโยนี (47) ตำนานที่ต้องหักล้าง ฯลฯ

บทหนึ่งที่ผู้เขียนรีวิวชอบมากคือบทที่ (38) การสื่อสารกับแพทย์ เพราะหมอกันเทอร์เป็นสูตินรีแพทย์จึงเข้าใจหัวอกผู้ป่วย เมื่อเรื่องของโยนีถูกกักเก็บเป็นความรู้ต้องห้ามมานาน ผู้ป่วยก็มีปัญหาในการสื่อสารกับแพทย์ให้เข้าใจว่ามันผิดปกติอย่างไร ต้องสื่อสารวิธีไหน บทนี้สอนวิธีสื่อสาร หากคนไหนมีประสบการณ์ร่วม เช่น เคยตรวจภายใน อ่านบทนี้แล้วอาจรู้สึกว่า ทำไมไม่เคยมีใครบอกฉันล่วงหน้าเหมือนในหนังสือเล่มนี้

ส่วนบทที่เกี่ยวกับอาการผิดปกติต่างๆ ก็ช่วยให้รู้สึกตื่นตูมน้อยลง เช่นการติดเชื้อรา ซึ่งใครๆ ก็ติดได้เป็นเรื่องปกติ และสามารถรักษาได้ ไม่ใช่เรื่องน่าหวาดกลัวจนทำให้นอนไม่หลับด้วยความกังวลว่าอาการแบบนั้นแบบนี้คือจุดเริ่มต้นของโรคร้ายแรงกว่านี้แน่ๆ

แต่ละบทเต็มไปด้วยความรู้ทางการแพทย์ สารภาพตามตรงว่าอ่านไม่ง่าย ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้ถูกฝึกมาให้อ่านสิ่งเหล่านี้ แต่การอ่านไม่ครบทุกบทไม่ใช่ปัญหา เพราะวันใดที่มีปัญหาสักข้อเกี่ยวกับโยนีขึ้นมาแล้วไม่รู้จะต้องเริ่มต้นอย่างไร

หนังสือเล่มนี้จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนคู่มือ ให้ผู้อ่านกวาดตาดูหัวข้อ แล้วเปิดไปยังหน้าที่มีหัวข้อนั้นอยู่เพื่อมาตอบข้อสงสัยของตนเองเบื้องต้น

 

สุดท้ายแล้ว นี่คือหนังสือที่คู่ควรสำหรับวิชาสุขศึกษา

เป็นหนังสือที่ห้องสมุดควรมี

เป็นหนังสือที่ควรสอนให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายอ่าน ควรมีในที่หยิบสะดวกเผื่อวันที่มีปัญหาร้อนใจเกี่ยวกับโยนี แล้วไม่สามารถตัดสินได้ว่าข้อมูลที่ได้จากอินเตอร์เน็ตจริงหรือไม่จริง

นี่คือหนังสือที่มีไว้เพื่อให้ผู้หญิงรู้จักร่างกายของตัวเอง ให้ผู้ชายรู้จักร่างกายของผู้หญิง

และโดยเฉพาะผู้หญิงนั้น ยิ่งความรู้เป็นของเราเท่าไหร่ เราก็ยิ่งปลอดภัยจากพิษของความไม่รู้มากขึ้น เหมือนที่หมอกันเทอร์เขียนไว้ในหน้า 232 ว่า

“โชคดีที่ผู้เขียนมียาถอนพิษเรียกว่า ความจริง”