หวาดผวาโรงเรียนทางเลือก/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

หวาดผวาโรงเรียนทางเลือก

 

โรงเรียนทางเลือก มีเปิดเรียนในบ้านเรามานับสิบปีแล้ว นับวันจะได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า ถ้าเรายังอยู่ในระบบการศึกษาปัจจุบัน เด็กไทยจะเป็นแค่เด็กหัวสี่เหลี่ยม เก่งท่องจำ แต่ไม่เก่งคิด ไม่กล้าคิดต่าง ไม่กล้าโต้แย้ง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สังคมไทยเราไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร เพราะพื้นฐานระบบการศึกษาที่เน้นสร้างเด็กให้อยู่แต่ในกรอบ

พ่อแม่ผู้ปกครองที่มองเห็นปัญหานี้จึงหันไปพึ่งโรงเรียนทางเลือก ที่มีหลายแนว หลายทฤษฎี เพื่อหวังให้ลูกหลานเติบโตเป็นคนคิดกว้างไกล มีอนาคตที่ดีกว่า

สำคัญสุด โรงเรียนแนวทางเลือกจะสอนให้เด็กคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น มีความรับผิดชอบสูง สามารถจะดำเนินชีวิตต่อไปได้ด้วยตัวเองอย่างมีคุณภาพ นี่จึงเป็นคำตอบให้กับพ่อแม่ผู้ปกครอง จะได้ไม่ต้องห่วงใยคอยปกป้องลูกไปตลอดชีวิต

หรือถ้ามองในแง่การพัฒนาสังคมไทย เด็กเหล่านี้จะโตเป็นผู้ใหญ่ที่มากด้วยวิสัยทัศน์ รอบรู้โลกกว้าง เป็นกำลังสร้างประเทศชาติที่เจริญก้าวหน้าในภายภาคหน้าได้อย่างแน่นอน

ถ้าเรายังจมอยู่กับระบบการศึกษาแบบเก่าๆ ที่สอนให้เด็กท่องจำเก่ง แต่ไม่สอนให้เด็กคิดเก่ง ไม่สอนให้เด็กคิดเป็น ไม่สอนให้รู้จักค้นคว้าหาข้อมูลหลักฐาน ก่อนจะสรุปหรือเชื่อสิ่งใด เราก็จะได้ลูกหลานที่โตเป็นผู้ใหญ่แบบเดิมๆ สังคมไทยก็เดินไปอย่างเชื่องช้าเช่นปัจจุบัน แถมว่างๆ ก็ถอยหลังล้าหลังอีก

โรงเรียนทางเลือก หลักสูตรการเรียนการสอนแบบทางเลือก จึงเป็นทางออกของการสร้างสังคมไทยที่เจริญรุดหน้า

ขณะที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่กำลังเป็นข่าวโด่งดัง ก็คือโรงเรียนแนวทางเลือกแบบนี้แหละ!!

แต่ไหนแต่ไรมา โรงเรียนแนวทางเลือกไม่เคยถูกจับจ้อง ถูกกล่าวหา แต่พอมายุคที่คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงการเมือง เรียกร้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคม เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิม

ทำให้เครือข่ายอนุรักษนิยมขวาจัดล้าหลังในสังคมไทย หวาดผวาอย่างหนัก บรรดาไดโนเสาร์ เต่าล้านปี ดาหน้าออกมาฉุดรั้งสังคม ไม่ยอมให้เปลี่ยนแปลง

พอมีประเด็นโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็หวาดกลัวอย่างหนัก โหมประโคมโจมตี

จน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ตกอกตกใจไปด้วย ออกมาแถลงตั้งข้อสงสัย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบว่า มีการสอนแบบบิดเบือนประวัติศาสตร์และสถาบันหรือไม่

ทำเอาอาจารย์ นักวิชาการ พากันออกมาอธิบายที่ความเป็นโรงเรียนสาธิตอย่างหนักแน่น เป็นหลักเป็นฐาน

พร้อมกับตั้งคำถามไปยังบุคคลระดับนายกรัฐมนตรี ว่าได้ตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนหรือไม่ ก่อนจะออกมาพูดจาเชิงกล่าวหาหลักสูตรการเรียนการสอนดังกล่าว

ฝ่ายนายกฯก็ตอบแบบเสียงอ่อยๆ ว่า เพราะเห็นข่าวมา ก็เลยให้จับตาดู

ตอบแบบนี้ก็พอจะรู้ได้ว่า นายกฯ เห็นข่าวในสื่อที่เป็นยานเกราะหรือดาวสยามยุคใหม่นั่นเอง!

 

แน่นอนว่าเครือข่ายอนุรักนิยมการเมืองในสังคมไทย นอกจากหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลง ฉุดรั้งทุกทางให้สังคมไทยถูกแช่แข็งอยู่กับที่ ไม่หมุนไปข้างหน้าอย่างเท่าทันโลก จุดสำคัญอีกประการ หวาดกลัวเด็กยุคใหม่ที่ไม่คิดในกรอบเดิมๆ อีกต่อไป

เพราะระบบการศึกษาปัจจุบัน ไม่พยายามสอนเด็กให้รู้จักคิดเป็น มุ่งเน้นให้เด็กไทยเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ ห้ามคิดโต้แย้ง ห้ามเถียงผู้ใหญ่ ให้กลายเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย

เป็นสูตรสำเร็จที่ทำให้สังคมไทยไม่ก้าวหน้าไปไหน เป็นสูตรสำเร็จทำให้สังคมไทยตกอยู่ในความล้าหลัง

ถ้าหากเด็กไทยคิดเป็น รู้จักโต้แย้ง และรู้จักการตรวจสอบก่อนจะเชื่อ เช่นนี้แล้วจะทำให้การควบคุมปกครองเป็นไปอย่างยากลำบาก

ทั้งนี้ เพราะในหลักสูตรการเรียนแนวทางเลือกจะไม่เน้นการท่องตำรามากนัก จะสอนเด็กในเรื่องที่แวดล้อมใกล้ตัว ครูผู้สอนเน้นพูดคุยสนทนา ทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เด็กพบเห็นในแต่ละวัน ทำให้มีทักษะในชีวิต เข้าใจโลกเข้าใจสังคมตามความจริง มากกว่าเข้าใจตามที่ท่องจำ

แม้แต่ในการศึกษาตำราต่างๆ ก็ยังเน้นให้เด็กรู้จักค้นหา อย่าอ่านแค่ตำราเล่มเดียวแล้วจำไปแค่นั้น

แนวทางการศึกษาแบบใหม่นี้ ในหลายๆ ประเทศที่เจริญก้าวหน้าใช้สอนเด็กๆ เป็นหลักสูตรการสอนหลักแล้วด้วยซ้ำ

อย่างในฟินแลนด์ ที่ไทยเราเองก็ยอมรับว่าเป็นชาติที่ระบบการศึกษาดีที่สุด ก็เป็นการสอนแบบเน้นการพูดคุยสนทนา สร้างความเข้าใจ มากกว่าเอาแต่ท่องตำรา เป็นนกแก้วนกขุนทอง

เพราะประเทศชาติที่เป็นประชาธิปไตยแท้จริงนั้น ผู้มาทำหน้าที่เป็นรัฐบาล ไม่มีกลุ่มอำนาจซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง มาตามระบบเลือกตั้ง ที่การตัดสินใจของประชาชนเป็นตัวกำหนด

*ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยแท้จริง จึงไม่มีรัฐบาลไหนที่หวาดกลัวว่าประชาชนจะฉลาด ประชาชนจะคิดเป็น*

การเรียนการสอนจึงเน้นสร้างเด็กให้คิดเป็น คิดมีเหตุผล เชื่อตามข้อมูลพยานหลักฐานที่ตรวจสอบได้

เป็นเหตุให้สังคมของประเทศเหล่านี้สร้างเด็กที่มีคุณภาพ คิดเป็นคิดต่าง ไม่ต้องสร้างเด็กให้ว่านอนสอนง่าย

 

นอกจากเครือข่ายอำนาจล้าหลังของสังคมไทยไม่อยากให้มีระบบการเรียนการสอนที่สร้างเด็กให้คิดเป็น สร้างเด็กให้เชื่อผู้ใหญ่เฉพาะที่มีเหตุผลและตรวจสอบแล้วว่าจริง ยังพบว่าในปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เกิดความไม่สงบมายาวนาน เพราะรัฐส่วนกลางเน้นใช้อำนาจกดข่มคนในพื้นที่ โดยละเมิดความละเอียดอ่อนทางเชื้อชาติศาสนานั้น

ระบบการเรียนการสอนเด็กในพื้นที่ 3-4 จังหวัดใต้ ยังมีประเด็นการมองโลกอย่างแคบๆ ด้วยทัศนคติชาตินิยมของผู้มีอำนาจอีกด้วย

โดยนักวิชาการด้านการศึกษาเคยได้ข้อสรุปอย่างน่าสนใจว่า เด็กมุสลิมในพื้นที่มีปัญหาการเข้าโรงเรียนตามระบบการศึกษาไทย เนื่องจากความไม่สอดคล้องด้านภาษา

โรงเรียนตามหลักสูตรที่รัฐจัดให้ ไม่เคยคำนึงว่าเด็กเล็กในพื้นที่พูดภาษายาวีมาตั้งแต่เกิด เมื่อเข้าไปเรียนชั้นอนุบาล หรือประถมต้น จะมีข้อจำกัดด้านภาษา เมื่อครูสอนด้วยภาษาไทยภาคกลาง เด็กในพื้นที่จะฟังแล้วไม่เข้าใจ อ่านก็ไม่เข้าใจ

นักวิชาการด้านการศึกษาจึงเสนอทางแก้ด้วยการให้เรียนแบบ 2 ภาษา นั่นคือ ให้ครูพูดภาษายาวี ภาษาถิ่น เพื่อให้เด็กเล็กเข้าใจ แล้วนำไปสู่การอ่านหนังสือตามตำราเรียนของกระทรวงศึกษาได้

แต่ผู้มีอำนาจคิดแต่ใช้การกดข่ม ปฏิเสธข้อเสนอเรียน 2 ภาษา คิดแต่เพียงว่าต้องทำให้เด็กทุกคนในพื้นที่พูดภาษาไทยได้ อ่านหนังสือภาษาไทยเท่านั้น

ประเด็นการเรียนการศึกษาในพื้นที่ 3-4 จังหวัดใต้ ก็ไม่ต่างจากความคิดในการปกครองคนในพื้นที่

ผู้มีอำนาจไม่คิดให้ฉลาด ไม่มองด้วยสายตาเปิดกว้าง!

กลัวแต่การแยกดินแดน ทั้งที่ถ้าหากปรับระบบการปกครอง ระบบการเรียนการสอน โดยเคารพและเข้าใจความละเอียดอ่อนของภาษาและวัฒนธรรม ทุกคนก็สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข ย่อมไม่เกิดการต่อต้านอำนาจรัฐ ไม่เกิดการก่อการร้าย

คิดหวาดกลัวไปเองว่าจะมีการแยกดินแดน ทั้งที่ประเมินความเป็นจริงได้ไม่ยากเลยว่า พื้นที่ 3-4 จังหวัดชายแดนใต้ไม่มีทรัพยากรมากมายระดับบ่อน้ำมัน บ่อแก๊ส ใครจะคิดแยกดินแดนไปปกครองเอง

ไม่ว่าจะเป็นปัญหาโรงเรียนทางเลือกในส่วนกลาง หรือปัญหาการเรียนการสอนในพื้นที่ชายแดนใต้

ล้วนแค่เป็นเพราะสังคมไทยยังถูกกลุ่มอำนาจนอกระบบ ขุนศึกขุนนางยึดกุมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

ทั้งพยายามรั้งระบบการศึกษา รั้งสังคม ให้อยู่ในยุคถ้ำยุคหินอยู่ตลอดไป!