3 ป.งัดตำรา ‘ลวงเล่ห์ ลวงหลอก ลวงเลียน’ ทำศึกชิงอำนาจ จับตา ‘บิ๊กบี้-บิ๊กแก้ว’ สยบศึก ‘คอเขียว-คอแดง’/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

3 ป.งัดตำรา

‘ลวงเล่ห์ ลวงหลอก ลวงเลียน’

ทำศึกชิงอำนาจ

จับตา ‘บิ๊กบี้-บิ๊กแก้ว’

สยบศึก ‘คอเขียว-คอแดง’

 

การเมืองร้อน ก็ร้อนถึงกองทัพ เพราะทำให้ถูกจับตามองว่า จะมีความเคลื่อนไหวใด

โดยบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทหารสูงสุด และบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ที่มีอายุราชการยาวถึงกันยายน 2566 ที่คาดกันว่า จะเป็นช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

โดยมี 2 ฉากทัศน์ คือ มีการยุบสภาและเลือกตั้งในปีนี้ 2565 และมีรัฐบาลใหม่ ขั้วอำนาจเดิม และมีนายกฯ คนใหม่ หรืออาจเป็นบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนเดิม

อีกฉากทัศน์หนึ่ง คือ อำนาจเปลี่ยนมือ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เป็นนายกฯ แต่เป็นการเปลี่ยนขั้ว โดยฝ่ายพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ย่อมต้องมีความวุ่นวายตามมา เพราะฝ่ายที่เรียกว่าสลิ่ม คงเป็นฝ่ายออกมาบนท้องถนน

ทำให้เกิดความหวาดหวั่นว่าจะเกิดการรัฐประหารขึ้นได้

จึงทำให้ พล.อ.เฉลิมพล และโดยเฉพาะ พล.อ.ณรงค์พันธ์ที่เป็น ผบ.ทบ. ถูกจับตามองเขม็ง

เพราะ ผบ.เหล่าทัพคนอื่นๆ ทั้งบิ๊กหน่อย พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกลาโหม บิ๊กเฒ่า พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ผบ.ทร. และบิ๊กป้อง พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์ ผบ.ทอ. จะเกษียณราชการ 30 กันยายน 2565

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ตอนเป็น ผบ.ทบ. และ พล.อ.ประยุทธ์จึงได้ร่วมกันวางตัวนายทหารที่มีอายุราชการถึงปี 2566 ขึ้นมาเป็นกำลังหลักของกองทัพ และช่วยดูแล พล.อ.ประยุทธ์ในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง อย่างทั้ง พล.อ.เฉลิมพล และ พล.อ.ณรงค์พันธ์

ไม่ใช่ว่ากองทัพจะช่วยในการเทคะแนนเลือกตั้ง ช่วยพรรคของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะมีตัวอย่างมาแล้วจากเลือกตั้งปี 2562 และเลือกตั้งซ่อม กทม.เขตหลักสี่ ว่า ทหารสั่งไม่ได้แล้ว ว่าจะให้เลือกพรรคไหน

แต่ต้องการให้กองทัพเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น และทำทุกหนทางที่จะทำให้พรรคการเมืองฝ่ายปกป้องสถาบัน ได้คุมอำนาจ ได้เป็นรัฐบาล

จึงไม่แปลกที่ในความเคลื่อนไหว ที่จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อเป็นสมัยที่ 3 จึงมีกลิ่นอายสีเขียวผสมอยู่ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นทหารเก่า และมีทั้งเพื่อน ตท.12 โดยเฉพาะก๊วนกอล์ฟสนามไทร เป็นกุนซือและร่วมเดินเกม

และมีทีมงานฝ่ายเสนาธิการล้วนเป็นทหาร และมีน้องๆ ทหารสายจันทร์โอชาในกองทัพอยู่ไม่น้อย

เพราะว่า ส่วนหนึ่งเป็นซับเซ็ต ทับทามกับลูกน้องของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่

ที่สำคัญคือ มีน้องรักอย่าง พล.อ.อภิรัชต์อยู่ทั้งคน จนทำให้ความเคลื่อนไหวของตุ๋ย-พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯ ที่ส่งไปเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ถูกเชื่อมโยงกับ พล.อ.อภิรัชต์เสมอ

เพราะตั้งแต่นายพีระพันธุ์ออกจากพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นที่ปรึกษานายกฯ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จนถูกส่งมาอยู่พรรคพลังประชารัฐ และถูกมองว่าเป็นสายจันทร์โอชาที่เข้ามาคานอำนาจ พล.อ.ประวิตร

นายพีระพันธุ์ก็ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของ พล.อ.อภิรัชต์ เพราะเป็นคนที่สนับสนุนให้นายพีระพันธุ์มาอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะสนิทสนมกันมาตั้งแต่เรียนเซนต์คาเบรียล และเป็นลูกทหารด้วยกัน

แม้แต่ข่าวลือที่สะพัดในแวดวงการเมืองที่นายพีระพันธุ์เดินสายเจรจาพูดคุยชักชวน ส.ส.จากหลายพรรค และคนรุ่นใหม่ ลูกหลาน ส.ส. เพื่อมาเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคไทยสร้างสรรค์

และทำให้ภาพของนายพีระพันธุ์นอกจากเป็นตัวแทนฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์แล้ว ยังเสมือนมีเงาของ พล.อ.อภิรัชต์อยู่ด้วย และถูกตีความในเชิงสัญลักษณ์ไปโดยอัตโนมัติ

สําหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่แรมโบ้ เสกสกล อัตถาวงศ์ ผช.รมต.ประจำนายกฯ จัดตั้งมาตั้งแต่ต้นปี 2564 นั้น ต่อมานายพีระพันธุ์ก็เข้ามาช่วยอยู่เบื้องหลัง

ถึงขั้นที่เสกสกลไม่ปฏิเสธข่าวที่ว่า มีทั้งนายพีระพันธุ์และบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. จะมาอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ แถมคุยว่าจะมีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอีกหลายคนเข้าพรรค

อีกทั้งชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติที่เอาม็อตโต้ของ พล.อ.ประยุทธ์มาตั้งชื่อนี้ ก็ได้รับอนุญาตจาก พล.อ.ประยุทธ์แล้ว และเรียกได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์รับรู้การตั้งพรรคของเสกสกลมาตั้งแต่ต้น

แต่ทว่า ก็ไม่ได้หมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเข้าพรรคนึ้ เพราะยังมีพรรคไทยสร้างสรรค์ ของตั้น ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีต รมว.ศึกษาธิการ กลุ่ม กปปส.เดิม อีกพรรคหนึ่ง

อีกทั้งก่อนหน้านี้ เคยมีรายงานข่าวการหารือ ว.5 ของ พล.อ.ประยุทธ์ และแกนนำในการตั้งพรรค ที่เซฟเฮาส์ใน ร.1 รอ. ที่ก็มีนายณัฏฐพลและนายพีระพันธุ์ร่วมวงด้วย

แต่มีการวางยุทธศาสตร์ให้พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคของคนรุ่นใหญ่ และพรรคไทยสร้างสรรค์ เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่

ทั้งหมดนี้เพื่อเตรียมรองรับแผนการดัน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ อีกสมัย แม้จะไม่มี พล.อ.ประวิตรอยู่เคียงข้าง เพราะไม่มั่นใจว่าพรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อหรือไม่ และในอนาคตอันใกล้ อาจไม่มีพรรคพลังประชารัฐแล้วก็ตาม

จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์จะส่งสัญญาณไปคนละทางกับ พล.อ.ประวิตร ที่ยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ย้ายไปพรรคไหน ยังอยู่กับผม เพราะเราอยู่ด้วยกันมาตลอด 50 ปีแล้ว

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ที่ตอบคำถามผ่านโฆษก กลับกั๊ก เปิดช่องไว้ ไม่ผูกมัดตัวเอง โดยระบุว่า ขณะนี้นายกฯ ยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐเนื่องจากเป็นพรรคที่สนับสนุนนายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา “นายกฯ จึงยังไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ และขอบคุณทุกพรรคที่ยืนยันสนับสนุนเป็นนายกฯ ในการทำงาน ทั้งในวันนี้และอนาคต การเมืองและการเลือกตั้งเป็นเรื่องของอนาคต ทุกพรรคการเมืองก็ต้องแก้ปัญหาภายในพรรคของตนเอง ทั้งพรรคเก่า-ใหม่ ซึ่งการเลือกตั้ง เมื่อมาถึงก็เป็นเรื่องของประชาชน เป็นเรื่องของนายกฯ ที่ต้องพิจารณาต่อไป”

แม้ว่า พล.อ.ประวิตรจะยืนยันว่า พรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ก็ตาม แต่ดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์และกองหนุนไม่ไว้วางใจอีกแล้ว เพราะวันนี้ พล.อ.ประวิตรมีพรรคเศรษฐกิจไทย ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ไว้เดินเกมการเมืองแล้ว

แถมยังพูดในที่ประชุมพรรค พปชร.ว่า พรรคเศรษฐกิจไทยจะอยู่ฝ่ายรัฐบาล จะมาประชุมสภา และคุมได้ ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าเป็นพรรคบิ๊กป้อม และยิ่งหากมีบิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา น้องรักมาเป็นหัวหน้าพรรค

และมีกระแสข่าวสะพัดว่า จะดันบิ๊กป๊อด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องชายแท้ๆ ไปสู่เก้าอี้นายกฯ แทนตนเอง จนทำให้ฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์โจมตี

ต่างฝ่ายจึงงัดกลยุทธ์ทางทหาร “ลวงเล่ห์ ลวงหลอก ลวงเลียน” ที่เรียนตำราเดียวกันมา มาสู้กันเอง เพื่อทำให้อีกฝ่ายตายใจว่ายอมแล้ว

จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์จะใช้แผนขี่ม้า 2 ตัวบ้าง เพราะมีทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคไทยสร้างสรรค์ ไว้รองรับ และอาจเป็นการต่อรองไปในตัว

งานนี้ พล.อ.ประวิตรจึงรู้แล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์สู้ ไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างพี่ใหญ่อีกต่อไปแล้ว

อีกทั้ง ร.อ.ธรรมนัสที่ก็เป็นสายเลือดทหาร ตท.25 จปร.36 ก็ดูจะส่งสัญญาณเป็นกล้ามเนื้อนอกบังคับของ พล.อ.ประวิตร เพื่อไม่ให้ถูกมองว่า พล.อ.ประวิตรครอบงำพรรค เพราะมีข่าวว่า พรรคเศรษฐกิจไทยจะไม่ร่วมรัฐบาล แต่จะเป็นพรรคอิสระ ที่จะเล่นการเมืองแบบสร้างสรรค์ จะหนุนเฉพาะในเรื่องเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติเท่านั้น

ที่ยิ่งกดดันฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ เรื่องเสียงในสภาเมื่อต้องโหวตกฎหมายสำคัญ และโดยเฉพาะหากจะยื้อไปจนอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบลงมติ หลัง 22 พฤษภาคมนี้ พรรคของ ร.อ.ธรรมนัสก็อาจจะไม่โหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์

อีกทั้งตอนนี้ยังมีปัญหาท่าทีของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่นำ 6 รมต.ของพรรค ลาประชุม ครม.เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา แสดงจุดยืนค้านการขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่ทำมาตั้งแต่ยุค คสช.

งานนี้สะเทือนการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอย่างหนัก เพราะโครงการนี้เป็นของบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พี่รองของ 3 ป. ที่ก็ดูท่าว่า พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.อนุพงษ์ก็จะไม่ยอมง่ายๆ แต่ก็ยื้อเวลานำเข้า ครม.อีกครั้งไปก่อน

แต่ก็มีการโยงประเด็นไปที่ความสัมพันธ์ของนายอนุทินกับ ร.อ.ธรรมนัส หลังจากที่มีการพบปะทักทายกันกลางสภา ต้อนรับ ร.อ.ธรรมนัส และ ส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทยเข้ามาประชุมสภาครั้งแรก

จนเกิดกระแสข่าวลือเรื่อง “ดีล” โดยเฉพาะเมื่อ ร.อ.ธรรมนัสเผยสเป๊กนายกฯ ว่า จะต้องมีเคมีใกล้กันกับเรา มีจิตสาธารณะ และทำงานเพื่อประชาชน

จนทำให้สูตรการเมืองใหม่ถูกจับตามองทันที นายอนุทินจับมือ ร.อ.ธรรมนัส หนุนนายอนุทินเป็นนายกฯ ตามระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นหัวหน้าพรรค เป็นนักการเมือง ผ่านการเป็น รมต. และรองนายกฯ มาแล้ว แถมมีจิตสาธารณะ ทำโครงการหัวใจติดปีก บินไปรับ-ส่ง อวัยวะบริจาค ไปให้ผู้ป่วยทันที และผลักดันฟอกไตฟรี ช่วยคนจน และกัญชาสำเร็จ

ย้อนไปหลังเลือกตั้งปี 2562 ที่ตอนนั้นพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง พยายามจัดตั้งรัฐบาล และเสนอเก้าอี้นายกฯ ให้นายอนุทิน แต่เขาปฏิเสธ เพราะรู้ว่า คสช. และ 3 ป.ยังแรง แถมมี 250 ส.ว.ในสภา

พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี

หากย้อนความสัมพันธ์ของนายอนุทินกับ ร.อ.ธรรมนัส เป็นเพื่อนกันมายาวนาน ตั้งแต่ก่อนที่ ร.อ.ธรรมนัสจะเข้าสู่การเมือง และรู้จักกันในฐานะเพื่อนเตรียมทหาร 25 แม้นายอนุทินจะไม่ได้จบโรงเรียนเตรียมทหาร แต่ทว่ามีเพื่อนสนิทใน ตท.25 หลายคน และร่วมกิจกรรมของ ตท.25 มาตลอด ซึ่ง ร.อ.ธรรมนัสก็เป็น ตท.25 และเคยจะเข้าเรียน วปอ. แต่ ร.อ.ธรรมนัสถอนตัว แต่ก็พบปะติดต่อพูดคุยกันเสมอมาในฐานะเพื่อน ส่งผลให้คอนเน็กชั่นนี้ก็ถูกฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์จับตามอง

ทั้งสัมพันธ์พี่น้อง 3 ป.ที่ปริแตก ทั้งปมของ ร.อ.ธรรมนัส และมาเจอนายอนุทินและพรรคภูมิใจไทยอีก สถานการณ์การเมืองจึงยิ่งเข้มข้นและร้อนระอุมากขึ้น

ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า หากมีการเปลี่ยนรัฐบาล และนายกฯ ไม่ใช่ พล.อ.ประะยุทธ์ จนถึงเปลี่ยนขั้วอำนาจ กองทัพจะมีบทบาทอย่างไร ท่ามกลางการถูกจับตามองถึงโอกาสในการรัฐประหาร

ที่ตอนนี้อาจยังไม่มีเค้าลาง หรือกลิ่นรัฐประหาร แต่ไม่มีใครรับประกันได้ว่า มันจะไม่เกิดขึ้นอีก เพราะแล้วแต่สถานการณ์ ยิ่งหากวันหนึ่งกองทัพได้ไฟเขียว

พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์

ในเวลานี้ กองทัพจึงต้องสร้างความเป็นเอกภาพ กลมเกลียวกันให้มากขึ้น เพราะเวลานี้นายทหารที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องรักสาย 3 ป. ก็ต้องแยกกันว่า ใครสายจันทร์โอชา หรือสายวงษ์สุวรรณ หลังพี่น้อง 3 ป.แตกร้าว

อีกทั้งเพื่อไม่ให้เกิดการแปลกแยก โดยเฉพาะระหว่างทหารคอเขียว ทหารทั่วไป กับทหารคอแดง ที่ยึดเก้าอี้ ผบ.ทบ.มาต่อเนื่องเป็นคนที่ 2 และตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.พล. ในกองทัพภาคที่ 1 จนทำให้ทหารคอเขียวหมดโอกาสเติบโต

จึงมีรายงานว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ ผบ.ทบ.คอแดง ที่เป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ด้วย มีนโยบายที่จะไม่เพิ่มทหารคอแดงชั้นนายพลใน ทบ.ขึ้นอีก โดยไม่มีการฝึกหลักสูตรคอแดง รุ่นที่ 3 ที่ยืดเวลาตั้งแต่เกิดโควิดในปี 2563 เพราะดูจำนวนนายพลคอแดงในเวลานี้ที่มีอยู่ ถือว่าพอเพียงแล้ว สามารถช่วยกันทำงานได้

โดยมี พล.อ.ณรงค์พันธ์ ที่เป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 บิ๊กต่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผช.ผบ.ทบ. แคนดิเดต ผบ.ทบ.คนต่อไป เป็นรอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 และบิ๊กโต พล.ท.สุขสรรค์ หนองบัวล่าง แม่ทัพภาคที่ 1 เป็น เสธ.ฉก.ทม.รอ.904 ที่ในอนาคตก็จะเป็นแคนดิเดต ผบ.ทบ.อีกคน

และในระดับคุมกำลัง และ ผบ.หน่วย ก็มีทั้ง พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทหารสูงสุด บิ๊กอ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสธ.ประจำผู้บังคับบัญชา บิ๊กหนุ่ย พล.ท.ธราพงษ์ มะละคำ แม่ทัพน้อยที่ 1 พล.ต.กันตพจน์ เศรษฐรัศมี รองแม่ทัพภาคที่ 1

ผบ.ไก่ พล.ต.วรยส เหลืองสุวรรณ ผบ.พล.1 รอ. ผบ.ใหญ่ พล.ต.อมฤต บุญสุยา ผบ.พล.ร.2 รอ. ผบ.มด พล.ต.อาจิณ ปัทมจิตร ผบ.พล.ม.2 รอ. ผบ.ตั้ง พล.ต.ธวัชชัย ตั้งพิทักษ์กุล ผบ.พล.ร.11 บิ๊กเล็ก พล.ท.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผบ.รร.นายร้อย จปร. พล.ต.อุดม แก้วมหา รอง ผบ.รร.จปร. เป็นต้น

ขณะที่ พล.อ.เฉลิมพล ซึ่งเป็น ผบ.ทหารสูงสุด คอแดงคนแรก ก็ทำความเข้าใจกับกำลังพลใน บก.ทัพไทยแล้วว่า ผบ.ทหารสูงสุดคนต่อไป ไม่จำเป็นต้องคอแดง เพื่อลดความขัดแย้ง แปลกแยก

โดยเริ่มจากการแต่งตั้งโยกย้ายขั้นนายพลในแต่ละครั้ง โดยโผโยกย้ายกลางปีที่ ผบ.เหล่าทัพทำกันอยู่นี้ จะส่งให้กลาโหมภายใน 15 กุมภาพันธ์นี้

ดังนั้น หากกองทัพต้องเตรียมพร้อม หากจำเป็นต้องทำใหญ่ในอนาคต ก็จะต้องสร้างความสามัคคีภายในให้เกิดขึ้นก่อน เรื่มจากการสยบศึกคอเขียวกับคอแดงเสียก่อน

แม้ว่ากองทัพจะไม่อาจตัดสินใจใดๆ ได้เอง โดยบรรดา ผบ.เหล่าทัพเองก็ตาม แม้แต่ ผบ.ทบ. แต่ก็ต้องสร้างความเป็นเอกภาพไว้ก่อน ไม่ว่าการเมืองจะทำให้อะไรเกิดขึ้นก็ตาม