ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 กุมภาพันธ์ 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | เหยี่ยวถลาลม |
เผยแพร่ |
เหยี่ยวถลาลม
ประวัติศาสตร์แห่งการทำลาย
แม้ความผิดปกติทางจิตจะเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน แต่ 1 ในนั้นต้องมาจาก “ความบกพร่องของสมอง” ไม่ส่วนใดก็ส่วนหนึ่ง
การมองเห็นที่ผิดเพี้ยนไป ความสงสัยหวาดระแวงเกินกว่าเหตุ เครียดจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หนักเข้าอาจถึงขั้นหัวเราะหรือร้องไห้ อาการเหล่านี้ชี้ให้เข้าใจว่า คนผู้หนึ่งอาจมี “บาดแผล” ในบางพื้นที่ของสมอง
ควรที่ผู้ซึ่งอยู่รอบข้างจะต้องสังเกตและดูแลให้ใกล้ชิด
“จิตเภท” เป็นโรคจิตที่เกิดจากความผิดปกติของสมองชนิดหนึ่ง จะมีอาการหลงผิด มีความคิดที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
ที่จริงแล้ว “ระบบการศึกษา” ช่วยได้!
หลักสูตรการเรียนการสอนที่ดีจะก่อให้เกิดดุลยภาพในบุคลิก
“พฤติกรรม” เป็นกระจกเงาสะท้อนการทำงานของสมองคนเรา
พฤติกรรมที่เปิดกว้าง มีความยินดีที่จะรับฟังผู้อื่นหรือคนที่แตกต่างถูกเรียกว่า “ใจกว้าง” นั่นเป็นการบ่งบอกว่า มีสมองที่ดี สมบูรณ์ จึงสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างลงตัวทั้งซีกซ้ายและซีกขวา คิดได้มากมายหลากหลาย ทำให้ไม่มีความขุ่นมัว พลิ้ว กริ้วโกรธ หรือระเบิดอารมณ์ ไม่ตกเป็นเหยื่อข่าวลือข่าวลวง ไม่ตกเป็นทาสสิ่งปลุกเร้ายั่วยุเพราะมีระบบความคิดที่ดีหรือ “สมอง” ทำหน้าที่ได้อย่างมี “ดุลยภาพ”
จึงมีบุคลิกดี มีวุฒิภาวะ มีความเป็นผู้นำ
ที่ว่ามาทั้งหมดนั้นเป็นการตีความส่วนตัวหลังจากได้อ่านยุทธศาสตร์และหลักสูตรของโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในมติชนออนไลน์
ยิ่งได้ฟังคำอธิบายจาก รศ.ดร.อนุชาติ พวงสำลี ประธานบริหารโรงเรียนสาธิต มธ.ด้วยแล้วยิ่งกระจ่างใน “จุดมุ่งหมาย”
จุดมุ่งหมายที่ว่านั้นก็คือ การทำให้เด็กซึ่งเป็นลูกหลานเกิดความรักในการอ่าน รักการค้นคว้า รักการค้นหาคำตอบที่ไม่ได้มีแค่ “คำตอบเดียว” อย่างแน่นอน
จึงจะเป็นการเรียนการสอนที่สนุกและสอดคล้องกับการพัฒนาของสมองซึ่งด้านหนึ่ง ต้องส่งเสริมให้มีพัฒนาการทั้งด้านการคิดวิเคราะห์แยกแยะ กับอีกด้านหนึ่งส่งเสริมให้เด็กมีจินตนาการเปิดกว้าง ฝึกคิดฝึกมอง ไม่จำนนกับคำตอบ และไม่หยุดนิ่งอยู่กับตำราหรือสิ่งที่ครูบาอาจารย์สอน
แต่ “ปัญหาหลัก” ที่ “ปริญญา เทวานฤมิตร” อดีตรองอธิการ มธ.โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กก็คือ “การศึกษาของประเทศไทยเอาแต่สอนให้ท่องจำและทำตามที่อาจารย์สั่ง”
อ.ปริญญาจึงว่า
“ไม่ทราบนายกรัฐมนตรีไปฟังมาจากไหนหรือไปอ่านเฟซบุ๊กใครมา จึงกล่าวหาโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่าบิดเบือนประวัติศาสตร์และสถาบัน ท่านยังไม่ได้ตรวจสอบอะไรเลยก็พูดผิดๆ ไปแล้ว เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีอย่างยิ่งเพราะเป็นถึงนายกรัฐมนตรีนะครับ”
ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ร้อนแรงและรุ้มเร้า “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้ซึ่งนั่งบนเก้าอี้ผู้นำประเทศมาใกล้ครบ 8 ปี จู่ๆ ก็มีคำสั่งให้หน่วยที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบหลักสูตรของโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าอาจมีการบิดเบือนประวัติศาสตร์และสถาบัน
เช่นนี้จึงเกิดคำถาม!
“ผู้มีคำสั่ง” เข้าใจคำว่า “ประวัติศาสตร์” และ “วิชาประวัติศาสตร์” หรือไม่
และ “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” เจ้ากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ด๊อกเตอร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา อดีตอาจารย์และคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะว่าอย่างไร!?
“ประวัติศาสตร์” เป็นเรื่องที่ล่วงผ่าน ทำให้คนที่มากไปด้วยจินตนาการและมองไปข้างหน้ารู้สึกว่า เป็นเรื่องที่น่าเบื่อ
ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วย “ข้อเท็จ” มากกว่า “ข้อจริง” ก็ด้วยเหตุที่ถูกเขียนขึ้นโดย “ผู้ชนะ” เสมอ แต่ในบางแง่มุม การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ก็มีคุณค่าชนิดที่อาจคาดไม่ถึง นั่นคือ เมื่อศึกษาเรียนรู้อย่างเข้าใจลึกซึ้งถึงรากฐานความเป็นมา รู้จุดแข็งจุดอ่อนข้อบกพร่องในอดีตก็สามารถใช้ “เพิ่มพูนศักยภาพในปัจจุบัน” รวมถึงสามารถใช้เพื่อ “การครอบงำ” หรือยึดครอง ดังเช่นมหาอำนาจในอดีตที่เรียนรู้ทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ ประเพณี วัฒนธรรม ความคิด ความเชื่อ อุปนิสัย และวิถีชีวิตเพื่อล่าอาณานิคม
ในสิ่งที่ล่วงผ่านหรือ “ประวัติศาสตร์” ของทุกประเทศย่อมเต็มไปด้วยเรื่องเล่า ทั้งจริง-เท็จ
ดร.อนุชาติ ประธานบริหารโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงอธิบายความจากเหตุการณ์ที่นายกรัฐมนตรีสั่งให้ตรวจสอบหลักสูตรว่า สาเหตุมาจากโรงเรียนเชิญ ดร.ธงชัย วินิจจะกูล มานำเสนอกรอบเนื้อหาและแนวทางการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งสิ่งที่อาจารย์ธงชัยแนะนำมีคุณค่ามากมายหลายเรื่อง เช่น การเน้นว่าเนื้อหาประวัติศาสตร์ทุกสำนักมีคุณค่าความสำคัญอย่าทิ้ง ตำราของ สพฐ.มีประโยชน์มีคุณค่า โรงเรียนไม่ได้บิดเบือนประวัติศาสตร์ แต่ได้เน้นการเรียนการสอนมากไปกว่านั้นคือให้นักเรียนอ่านหนังสือจำนวนมาก สามารถเลือกอ่านตำราและเอกสารอื่นๆ ได้หลากหลาย เรียนจากทุกสำนักคิด เพื่อให้มี “วุฒิภาวะ”
“ดังนั้น เมื่อมีข่าวออกมาว่าโรงเรียนนำอาจารย์ธงชัยมาล้างสมองเด็กก็อดเสียใจไม่ได้ เพราะสิ่งที่ทำ กับข่าวมันเป็นคนละเรื่อง ปรัชญาของโรงเรียนคือร่วมสร้างสังคมแห่งการเคารพและเรียนรู้ร่วมกัน ไม่ตัดสินคนด้วยวิธีคิดทางการเมือง และไม่ตัดสินคนจากความเชื่อ”
“ล้างสมอง” ย่อมเป็นคำที่บาดหัวใจ
ดร.ธงชัย วินิจจะกูล อาจเป็นปีศาจที่ยังมีลมหายใจสำหรับใครบางคน!
ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ระส่ำระสายของประเทศไทยนี้ ไม่แปลกอันใดเลยที่ผู้มีอำนาจทางการเมืองจะหวาดระแวงและ “สร้างเรื่อง” บ่อยครั้ง “สร้างสถานการณ์” และ “กล่าวหา” จากนั้นก็สมคบคิดกัน “ลงมือทำลาย” ผู้ที่คิดต่าง
จะว่าไปแล้ว การเมืองไทยก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลครอบงำของผู้นำที่ป่วยไข้มานานนัก
การครอบงำเช่นว่านี้ลุกลามไปทั่วทุกอณูของสังคมไทยจนดูเหมือนจะไม่คุ้นเคยกับการยอมรับความคิดความเชื่อที่แตกต่าง
หนักเข้าคือ ไม่ยอมรับความจริงแม้กระทั่งว่ามี “คนรุ่นใหม่” เกิดขึ้น มีความคิดใหม่ มีจินตนาการใหม่ที่จะสร้างสังคมอุดมปัญญา
สังคมไทยจึงมากไปด้วย “ปฏิกิริยา” การทำลายมากกว่าการสร้างสรรค์!?!!