รวมไทยสร้างชาติ ‘แรมโบ้’ สร้าง ‘ตู่’/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

รวมไทยสร้างชาติ

‘แรมโบ้’ สร้าง ‘ตู่’

ย้อนถอยไปเมื่อเดือนมีนาคม 2564

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ที่มีสมญานาม “แรมโบ้อีสาน” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ได้ส่งข้อความแจ้งสื่อมวลชนว่า เมื่อ 6 มีนาคม 2564 ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “เสกสกล”

มีความหมายว่า “ผู้บันดาลให้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์มั่นคง”

ตั้งโดยพระอาจารย์ที่ ดร.แรมโบ้นับถือมายาวนาน เป็นเจ้าอาวาสวัดรูปหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

การเปลี่ยนชื่อใหม่ครั้งนี้ “แรมโบ้อีสาน” มุ่งหมายว่า “ชื่อใหม่จะทำให้มีแต่ความเป็นสิริมงคลในชีวิต มีผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลเมตตา มีอนาคตในหน้าที่ทางการเมือง จะประสบความสำเร็จก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป”

แถมนามใหม่นี้ มีคำว่า “ด๊อกเตอร์” นำหน้า

ด้วย “ดร.เสกสกล” เพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขายุทธศาสตร์การพัฒนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร นั่นเอง

 

ด้วยผลแห่งนามที่มีความหมาย “ผู้บันดาลให้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์มั่นคง” อย่างไรหรือไม่ก็ตาม

แต่วันนี้นายเสกสกลก็ได้ประกาศตนจะเป็น “ผู้บันดาล” ให้เกิดพรรคใหม่

ในนาม “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่พร้อมจะสร้างความ “สมบูรณ์มั่นคง” ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอีกครั้ง

“พรรครวมไทยสร้างชาติ” จดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา

โดยนายเสกสกลระบุว่า รวมไทยสร้างชาติเป็นคำที่ พล.อ.ประยุทธ์ชื่นชอบและตั้งคำนี้ขึ้นมาเอง แต่ตนเกรงว่าคนอื่นจะนำชื่อนี้ไปใช้ จึงได้ส่งทีมงานไปจดทะเบียนเป็นชื่อพรรคไว้ก่อน นายกฯ จะใช้หรือไม่ก็แล้วแต่ ซึ่งได้แจ้งให้นายกฯ รับทราบแล้ว นายกฯ ก็ไม่ได้ว่าอะไร

ขณะนี้พรรครวมไทยสร้างชาติมีความเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมากแล้ว มีการตั้งสาขาและหาสมาชิก แจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นไปตามระเบียบทุกอย่าง ซึ่งเดือนมีนาคมจะมีการประชุมใหญ่และเปิดตัวผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง มีประวัติดี โปรไฟล์ดี

“การที่จดทะเบียนพรรครวมไทยสร้างชาติ มีความชัดเจนว่าสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไป และคิดว่าอนาคตการเมืองไม่มีอะไรแน่นอน หากพรรคพลังประชารัฐมีปัญหาก็จะได้มีพรรคการเมืองที่เป็นทางเลือกใหม่ให้นายกฯ ได้พิจารณา และพรรคนี้ถือว่าเป็นพรรคที่มีความชัดเจนในการปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และที่สำคัญเป็นการเดินตามแนวทางของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งผมในฐานะเป็นผู้ก่อตั้งก็ได้ประกาศไว้ว่า พรรครวมไทยจะสร้างชาติจะเป็นพรรคที่จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ว่าจะมีพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ หรือมีพรรคอื่นที่จะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ แต่พรรครวมไทยสร้างชาติก็จะยืนยันที่จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ นี่คือจุดยืนของผม” นายเสกสกลระบุ

 

ถือเป็นจุดยืนที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู

พลิกผันจากเส้นทางทางการเมือง “ในอดีต” อย่างสิ้นเชิง

คือจากปี พ.ศ.2544 ที่นายสุภรณ์ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรคไทยรักไทยและได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.ครั้งแรก

ต่อมาในปี พ.ศ.2550 ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ.2549

ต่อมาในปี พ.ศ.2555 ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย

ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 74

ภาพลักษณ์ของเขาที่เคยโด่งดัง

คือการเป็นแกนนำเสื้อแดง และเจ้าของบทเพลง “กตัญญูทักษิณ”

พร้อมกับเคยมีตำแหน่งทางการเมืองกับฝั่งฟากนายทักษิณ ชินวัตร หลายตำแหน่ง เช่น เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายสรอรรถ กลิ่นประทุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) พ.ศ.2546, รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองนายกรัฐมนตรี) พ.ศ.2547, เลขานุการนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี) พ.ศ.2548, รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี) พ.ศ.2556-2557

นายสุภรณ์เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่ม นปช. จนกระทั่งรัฐบาลสั่งการปฏิบัติการกระชับวงล้อมในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2553 และแกนนำ นปช.ประกาศสลายการชุมนุมไปเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2553 ที่สี่แยกราชประสงค์ นายสุภรณ์ได้ส่งตัวแทนชี้แจงว่าจะเข้ามอบตัวต่อ ศอฉ. หลังจากยกเลิกเคอร์ฟิว จากนั้นก็หายตัวไป

พร้อมๆ กับมีกระแสข่าวในเวลาต่อมาหลัง พล.อ.ประยุทธ์ทำรัฐประหารเมื่อปี 2557 ว่าได้ “สาบาน” ที่จะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต

 

แต่หลังจากมีการก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ นายสุภรณ์ก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวอีกครั้ง โดยย่างเท้ากลับเข้าสู่การเมือง

พร้อมๆ กับปรากฏการณ์ที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เรียกว่าอภินิหารทางกฎหมาย เมื่อแรมโบ้อีสาน รอดคดีการบุกล้มการประชุมอาเซียน ที่พัทยา เนื่องจากตำรวจไม่สามารถจับกุมตัวมาส่งอัยการได้ทันก่อนคดีหมดอายุความ ขณะที่แกนนำ นปช.คนอื่นถูกส่งฟ้องในคดีนี้หมด

และที่สุดนายสุภรณ์ก็ได้ปรากฏชื่อเป็นผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา ในนามพรรคพลังประชารัฐ ปี 2562 แต่สอบตก

กระนั้นเขาได้รับความไว้ใจจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ให้เข้ามาทำหน้าที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่คอยตอบโต้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลแบบเกลือจิ้มเกลือ

และทำหน้าที่เฉพาะกิจสนอง พล.อ.ประยุทธ์มากมาย โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหามวลชนต่างๆ เช่น แก้ไขปัญหากับกลุ่มผู้ชุมนุมจะนะรักษ์ถิ่น แกนนำล่ารายชื่อขับไล่ Amnesty International Thailand และล่าสุดคือ รองประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล และหัวหน้าชุดดำเนินการกับผู้กระทำผิดกฎหมาย ที่นายอนุชา นาคาศัย เป็นประธานคณะกรรมการ

 

นายสุภรณ์อ้างเหตุผลการหวนกลับมาสู่การเมืองว่า ทนกระแสเรียกร้องให้กลับมาทำงานการเมืองจากประชาชนไม่ไหว ประกอบกับมีผู้ใหญ่เห็นคุณค่าและอยากให้กลับมาช่วยกันทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองและประเทศชาติ

และได้สร้างความฮือฮาเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2561 ก่อนเข้ามาสังกัดพรรคพลังประชารัฐ

เมื่อนายสุภรณ์ได้นำพวงมาลัยดอกดาวเรือง ช่อดอกดาวเรือง ธูป เทียน และแผ่นทองคำ เข้ากราบไหว้อนุสาวรีย์ย่าโม พร้อมกับกล่าวถอนคำสาบาน ที่เคยสาบานต่อหน้าย่าโมเมื่อปี 2557 หลังมีการเข้ายึดอำนาจของ คสช. ว่าจะเลิกเล่นการเมืองและไม่ยุ่งเกี่ยวการเมืองไปตลอดชีวิต

นายสุภรณ์บอกว่า ได้ถอนคำสาบาน และได้บอกกับย่าโมว่าขอกลับมาทำงานพัฒนาสร้างความเจริญให้กับเมืองโคราช เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และสิ่งใดที่ลูกทำอะไรไว้ไม่ดีไม่งาม ขอกราบอภัยย่าโม จากนี้เป็นต้นไปลูกจะตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้กับประชาชน และเรียกความรักความศรัทธา ความดีงาม ความสมัครสมานสามัคคี ให้เกิดขึ้นในผืนแผ่นดินไทย

จากนั้นนายสุภรณ์ที่เปลี่ยนชื่อเป็น “เสกสกล” ก็ลุยการเมืองเต็มตัว

โดยเฉพาะบทบาทองครักษ์พิทักษ์ พล.อ.ประยุทธ์อย่างสุดตัว ไม่เหลือร่องรอยการเป็นฝ่ายตรงกันข้ามแม้แต่น้อย

ซึ่งดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์จะพึงใจกับแรมโบ้อีสานคนนี้ไม่น้อย

 

และในวันนี้ นายเสกสกลก็ได้ยกระดับความสำคัญทางการเมืองขึ้นไปอีกขั้นตอนหนึ่ง

นั่นคือ การก่อตั้งพรรค “รวมไทยสร้างชาติ” อันเปรียบประหนึ่งเป็นพรรคทางเลือกให้กับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ กรณีที่ต้องตัดสินใจทางการเมืองครั้งสำคัญ จากปัญหาความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ ที่นับวันจะร้าวลึก และไม่อาจจะรอมชอมกันได้อีกต่อไป

โดยทางเลือกของ พล.อ.ประยุทธ์มีอยู่ 2 ทาง

ทางหนึ่ง เข้าไปยึดพรรคพลังประชารัฐ ชิงการนำมาจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

หรืออีกทางหนึ่ง ไปตั้งพรรคใหม่ เพื่อสร้าง “รังใหม่”

ซึ่งทางเลือกนี้ นายเสกสกลก็อาสาเป็นผู้เบิกทางให้กับ พล.อ.ประยุทธ์อย่างคึกคัก กระตือรือร้น

ท่ามกลางกระแสข่าวว่าจะมีขุนทัพที่เป็นบิ๊กเนมที่เป็นคีย์แมนสำคัญใกล้ “บิ๊กตู่” เข้ามาร่วม

อาทิ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการการเมือง “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ขณะที่นายปรพล อดิเรกสาร ทายาท “ราชครูรุ่นที่ 4” เป็นบุตรชายนายปองพล อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีต รมว.ต่างประเทศ และเป็นหลานชาย พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ได้ยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐมาร่วมงานการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว

ขณะเดียวกันนายเสกสกลอ้างว่ากำลังอยู่ระหว่างการพูดคุยกับพรรคท้องถิ่นไทยของนายชัชวาลย์ คงอุดม หรือชัช เตาปูน เข้ามาร่วม

พร้อมกันนี้ ยังจะเป็นพันธมิตรกับพรรคไทยภักดีของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อีกด้วย

นอกจากนี้ ในการประชุมใหญ่ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในช่วงเดือนมีนาคม นายเสกสกลจะมีเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าในตอนนี้ หลายฝ่ายที่ถูกพาดพิงถึงทั้ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ทั้งนายชัชวาล ปฏิเสธว่าไม่ได้รู้เห็นหรือถูกชักชวนก็ตาม

 

ขณะนี้ยังไม่มีความแจ่มชัดจาก พล.อ.ประยุทธ์ว่าจะตัดสินใจอย่างไร

ดังที่บอกผ่านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าขณะนี้นายกฯ ยังคงอยู่กับพรรคพลังประชารัฐเนื่องจากเป็นพรรคที่สนับสนุนนายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

“นายกรัฐมนตรีย้ำว่าขณะนี้ยังไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ พร้อมขอบคุณทุกพรรคที่ยืนยันสนับสนุนนายกฯ ในการทำงานทั้งวันนี้และอนาคต ส่วนการเมืองและการเลือกตั้งเป็นเรื่องของอนาคต เป็นเรื่องของนายกฯ ที่ต้องพิจารณาต่อไป” นายธนกรกล่าว

แต่การแบ่งรับแบ่งสู้ดังกล่าว สะท้อนว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้

นั่นย่อมทำให้นายเสกสกลมากด้วยความคึกคัก เพราะไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ

เครดิตทางการเมืองของนายเสกสกลก็พุ่งสูงลิ่ว

และยิ่งหาก พล.อ.ประยุทธ์เลือกใช้บริการพรรครวมไทยสร้างชาติ นายเสกสกลก็ยิ่งประหนึ่งแรมโบ้ติดปีก

ในฐานะผู้พลิกบทบาทจาก “หางเครื่อง”

มาเป็น “ผู้บันดาลให้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์มั่นคง” ด้วยการสร้าง “บิ๊กตู่” ให้ยิ่งใหญ่ต่อไป

แต่คำถามก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ที่เคยมีพรรค กลุ่มคน ห้อมล้อม ชูขึ้นเป็นผู้นำอย่างยิ่งใหญ่

จะภาคฦูมิใจกับวันนี้ที่มีคนที่ชื่อ “เสกสกล” เป็นผู้สนับสนุนเพียงใด–หรือภาวะสะบักสะบอมทั้งในคณะรัฐมนตรี สภา และพลังประชารัฐ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีทางเลือกอื่น!?!