กาละแมร์ พัชรศรี : คนดับฝัน มันอยู่ใกล้เรากว่าที่คิด

ทุกคนมีความฝัน มีสิ่งที่อยากทำ อยากเป็น อยากมีในชีวิตกันทั้งนั้น เคยมานั่งทบทวนมันไหมว่า เราทำมันให้เป็นจริงสักกี่เรื่อง

เราต้องแยก “ความอยาก” กับ “ความโลภ” แยกออกจากกัน อยากให้ชีวิตเราดี อยากให้ชีวิตผู้อื่นดี แต่เราไม่โลภที่อยากได้จนต้องเบียดเบียนคนอื่นหรือทำให้คนอื่นเกิดความทุกข์ แบบนั้นได้มามันก็ไม่เท่ไม่แมน

เอาล่ะ แล้วความฝันที่เราทำให้มันเป็นจริงมีเรื่องอะไรบ้าง

แล้วเรื่องที่มันยังเป็นฝันแบบลมๆ แล้งๆ ลอยไปลอยมาคอยทำให้คุณทอดถอนหายใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันมันมีอะไรบ้าง

 

เวลาคนเราทำความฝันให้เป็นจริงแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม เราจะรู้สึกชอบตัวเองขึ้นมา ภูมิใจกับตัวเอง และมีกำลังใจที่จะทำความฝันต่อๆ มาให้เป็นจริง

ลองคิดดูว่าถ้าคนเราทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจอยากที่ต้องการ ไม่ได้กิน ไม่ได้ทำ ไม่ได้อยู่ ไม่ได้ไป ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ มันจะรู้สึกอึดอัด ไม่ชอบชีวิตตัวเองเอาเสียเลย บ่นท้อใจ บ่นในโชคชะตา บ่นถึงความไม่ยุติธรรม บ่นว่าใครต่อใคร พาลไปอิจฉาด่าทอเขาไปเรื่อยๆ เห็นใครดีก็หมั่นไส้

ไม่รู้จักการ “มุทิตา” คือยินดีเมื่อเห็นคนอื่นมีความสุข

มันต่างกับคนที่เขายังไม่มี แต่เขาเห็นแล้วเขาเกิดความคิดว่า เราอยากมีชีวิตแบบนี้บ้าง งั้นเราต้องทำอย่างไรดีนะ คนนี้เขาทำความฝันแบบเดียวกับเราสำเร็จ เขาทำมันได้อย่างไรนะ เราควรต้องปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง หรือจุดด้อยตัวเองตรงไหนบ้างนะที่มันยังไม่ดี

แค่มุมมองที่ไม่เหมือนกัน คุณเชื่อไหมว่า ผลลัพธ์ของคนสองคนนี้ก็ไม่เหมือนกันแล้ว

คนที่กล้ายอมรับข้อเสีย ข้อด้อย จุดอ่อนของตัวเองได้และบอกว่าจะนำมันไปปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะดีขึ้นอย่างที่เขาตั้งใจไว้

แต่สำหรับคนที่ไม่เคยมองเห็นตัวเองเลย เพราะมัวแต่มองคนอื่น อิจฉาคนอื่น สนใจใคร่รู้เรื่องคนอื่นเรื่องชาวบ้านจนลืมมองเรื่องตัวเอง วันๆ จึงเห็นแต่ข้อเสียเขา จับผิดเขา ไอ้นั่นเขาก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ยังไม่เลิศ

แล้วตัวเองล่ะเคยเห็นมันบ้างไหม

หรือจริงๆ แล้วเราอาจจะไม่กล้ายอมรับความจริงในชีวิตเรา พอมองลงไปแล้วมันเจ็บปวด มันท้อแท้ เลยไม่อยากจะมองมัน

ถ้าต้องทำให้มันดีขึ้นมันเหนื่อยจัง เรื่องมันเยอะ มันขี้เกียจ งั้นช่างมันก่อน ลืมๆ มันไปก่อนด้วยการไปสนใจเรื่องคนอื่นดีกว่า จะได้ไม่ต้องคิดเรื่องตัวเอง

แต่ถ้าใครบอกว่าฉันพอแล้วกับชีวิต ฉันชอบชีวิตตัวเองแล้ว ฉันมีความสุขแล้ว ขอให้เราลองเช็กตัวเองเสมอว่า มันใช่อย่างนั้นจริงๆ ใช่ไหม

เราไม่ได้หลอกตัวเองใช่ไหม

มันมีอะไรที่ค้างคาอยู่ในใจหรือเปล่า

เห็นคนอื่นเขาทำแบบที่ตัวเองอยากทำแล้วรู้สึกเสียดาย อิจฉา น้อยเนื้อต่ำใจไหม ถอนหายใจบ่อยๆ หรือเปล่า

เบื่อๆ ซึมๆ เซ็งๆ เหนื่อยๆ เฉื่อยๆ ระหว่างวันหรือเปล่า หรือเคยพูดบอกใครๆ หรือเปล่าว่า “โถ่ กรูคิดได้ก่อนอีก นี่ถ้ากรูทำนะดียิ่งกว่านี่อีก!”

มันก็แค่ “ถ้า” ไง แต่เราไม่ได้ลงมือทำ เขาลงมือทำ จะดีเท่าหรือไม่เท่า แต่เขาก็ลงมือ “ทำ”

 

คนที่คอยดับฝันเราเสมอไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือตัวของเราเอง

เวลาที่เราเกิดมาด้วยหน้าตารูปร่าง ผิวพรรณ ชนชั้นวรรณะ พ่อแม่ ตระกูล ฐานะที่ไม่ได้เลอเลิศ เรามักจะเอาเรื่องเหล่านี้มาเป็นข้อจำกัดในชีวิต และง่ายดีที่จะโทษเรื่องพวกนี้ว่าเป็นตัวการที่ทำให้ความฝันเราไม่เป็นจริง

เพราะเราจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดมาก ปัดความรับผิดชอบในสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ในตอนเกิดมาให้กับเรื่องพวกนี้ไป แล้วไปค่อนแคะพวกที่เขาเกิดมาด้วยต้นทุนที่มากกว่าเรามันสนุกกว่าเยอะ แต่ถามหน่อยว่าเราได้อะไร ชีวิตเราดีขึ้นเหรอ ในขณะที่ชีวิตเขาดีขึ้นทุกวัน

ชีวิตคนดังๆ ที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งคนไทยและต่างชาติมีให้เห็นตั้งเยอะ ที่มาจากไม่มีอะไรเลย จนยิ่งกว่าจน โดนรังแก โดนกดขี่

บางคนโดนข่มขืนแต่เด็ก พ่อแม่ไม่มี โดนทุบตี อดมื้อกินมื้อ หนังสือไม่ได้เรียน หรือไม่ก็ต้องเดินทางหลายกิโลกว่าจะมาถึงโรงเรียนได้ เสื้อผ้ามีชุดเดียว คนในครอบครัวพิการ ไม่มีสัญชาติ ชีวิตมันจริงซะยิ่งกว่าจริง

แต่ความแตกต่างของคนที่เกิดมาเหล่านี้แล้วมีชีวิตที่ดีจนสำเร็จคืออะไร

 

เขาไม่ท้อกับชีวิตไง

ยิ่งมีต้นทุนน้อยกว่าคนอื่น เขายิ่งต้องขยัน พยายาม อดทน ไม่เอาเวลามาบ่นเพ้อบ้าบอกับชะตากรรมหรือสนใจเรื่องชาวบ้าน ที่สำคัญเขามีเป้าหมายที่แน่วแน่ว่าเขาตื่นเช้าขึ้นมาเขาจะทำอะไรในชีวิต ไม่ใช่ล่องลอยแบบไร้จุดหมาย

พอจบวัน เขาต้องมานั่งทบทวนว่าวันไหนทำได้อย่างที่ต้องการหรือไม่ ถ้ายังไม่ได้พรุ่งนี้พยายามขึ้นอีก หรือลองวิธีใหม่ จะเสียใจร้องไห้ กลุ้มใจอย่างไร ก็ต้องปาดน้ำตาทิ้งไป แล้วลุกขึ้นมาใหม่ให้ได้

คุณคิดว่าพวกเขาผ่านการล้มลุก ล้มลุกมากี่ครั้ง

ต้องร้องไห้ปาดเหงื่อปาดน้ำตากี่หน ต้องทนกับคำคนที่ดูหมิ่นด่าทอเขากี่เดือนกี่ปี

ถ้าเขาท้อกลางทาง เลิกแล้ว ไม่ไหวแล้ว กรูไม่ทนแล้ว มันเหนื่อย มันยาก มันอาย โดนด่า กรูไม่เอาแล้ว พอเถอะ คุณก็ไม่ได้เห็นคนนั้นในวันนี้

คนที่เขาสำเร็จมันไม่ได้มาง่ายๆ หรอก คุณอาจเห็นเขาในแง่ของความสวยงามแล้ว ดังแล้ว รวยแล้ว มีแต่คนชื่นชมเขาแล้ว เราไม่ได้เห็นในทุกบรรทัดของชีวิตเขา

ถ้าคุณได้นั่งคุยกับพวกเขาคุณจะได้ฟังเรื่องราวเป็นวันๆ เป็นเดือนๆ เหมือนถ้าบ้านใครที่บรรพบุรุษที่ประสบความสำเร็จ เขาจะภูมิใจและเล่าให้ลูกหลานฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก

เพราะเขารู้ว่ากว่าจะผ่านมันมาได้เลือดตาแทบกระเด็น

 

ทุกวันนี้เราลองหันมาดูตัวเองกันว่าจะเจออุปสรรค เจอปัญหา เจอโชคชะตาที่มันไม่ได้เป็นอย่างใจเรา เราท้อกับมันแล้ว ล้มเลิก แล้วก็บอกกับตัวเองซ้ำๆ ว่า “เพราะเราเกิดมาต้นทุนต่ำกว่าเขา ชีวิตเราก็ได้แค่นี้แหละ” นี่คุณกำลังให้พรตัวเองแบบนี้หรือคะ

คุณคิดอย่างไร คุณพูดอย่างไรกับตัวเองคุณก็เป็นอย่างนั้น แค่เปลี่ยนไปพูดว่า “กรูทำได้สิวะ กรูต้องผ่านเรื่องนี้ไปได้ วันนี้ไม่ได้พรุ่งนี้กรูจะทำให้ดีกว่าเดิม ชีวิตกรูต้องดีกว่านี้ให้ได้”

เอาโชคชะตามาเป็นแรงผลักแรงถีบให้ชีวิต ไม่ใช่เอามันมากดชีวิตให้ต่ำจมดินไปอีก

อีกไม่กี่ปีเราก็หายไปจากโลกนี้แล้ว เราจะเอาอย่างไรกับมัน จะลุกหรือล้ม เราเลือกได้!!!